HoonSmart.com>>บล.ทิสโก้ มองตลาดหุ้นเชิงบวกหลังผลเลือกตั้งดีกว่าคาด เชื่อดึงเงินไหลเข้าหลังฟอร์มทีมตั้งรัฐบาล ต่างชาติจับตาความมีเสถียรภาพ นโยบายเศรษฐกิจและความต่อเนื่องของโครงการขนาดใหญ่ คงเป้าสิ้นปี 1,750-1,800 จุด ส่วนวันนี้หุ้นร่วงแรงกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอ ชี้ลงน้อยกว่าภูมิภาค
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ กล่าวว่า ผลการเลือกตั้งออกมาดีกว่าคาด โดยพรรคพลังประชารัฐได้รับคะแนนมากพอที่จะฟอร์มทีมรัฐบาลได้ จึงทำให้ภาพสมมติฐานกรณีเลวร้ายเกิดความวุ่นวายและฉุดดัชนีลงแรงหายไปแล้ว ส่วนการปรับตัวลงแรงของตลาดหุ้นไทยวันนี้มาจากปัจจัยต่างประเทศ ความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทำให้หุ้นทั่วโลกปรับตัวลง แต่ตลาดหุ้นไทยถือว่าลดลงน้อยกว่าภูมิภาค
“มองโอกาสที่หุ้นจะฟื้นมากกว่าฟุบ จึงเป็นโอกาสลงทุน แต่จะชัดเจนมากขึ้นหากเห็นการฟอร์มทีมรัฐบาล”นายไพบูลย์ กล่าว
พร้อมกับมองตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล จากการเติบโตของเศรษฐกิจปีนี้ซึ่งธปท.คาดการณ์เติบโต 3.8% แรงขับเคลื่อนจากภาคเอกชน ในขณะที่โครงการ EEC ยังเดินหน้าต่อไม่ว่าพรรคไหนจะเป็นรัฐบาล ดังนั้นเศรษฐกิจที่ยังขยายตัว หุ้นกลุ่มธนาคารก็ยังเติบโตตามจีดีพี การขยายตัวของสินเชื่อ ขณะที่หนี้เสียเริ่มนิ่งมีสัญญาณดีขึ้น หุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมก็ยังน่าสนใจ รวมถึงหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจจึงยังเป็นกลุ่มที่ลงทุนได้
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ปีนี้ยังคงมองเป้าหมายดัชนีสิ้นปีที่ 1,750-1,800 จุด โดยในช่วงครึ่งปีหลังตลาดหุ้นทั่วโลกจะมีเซนทิเม้นท์ที่ดีขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก จากเดิมที่ชะลอตัวจากปัญหาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งหากเจรจาได้สำเร็จก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี โดยในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้ายังไม่เห็นสัญญาณที่จะทำให้ดัชนีปรับตัวลงแรง ยกเว้นว่าสหรัฐและจีนไม่สามารถตกลงทางการค้ากันได้ ซึ่งเป็นปัญหาของโลก แต่หากเจรจาไม่ลงตัวและมีการเก็บภาษี สหรัฐก็จะได้รับผลกระทบมากสุด ส่วนกรณี Brexit มองเป็นเรื่องของประเทศอังกฤษมากกว่า ซึ่งยังมองตลาดหุ้นทั่วโลกเป็นขาขึ้นอีก 2 ปี ยังไม่เห็นสัญญาณที่จะมาฉุดลง
นอกจากนี้ยังเชื่อว่าเม็ดเงินลงทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยหลังการเลือกตั้ง เนื่องจากปัจจุบันต่างชาติขายหุ้นไทยออกไปมากแล้ว จึงมีโอกาสไหลกลับเข้ามาลงทุน ประกอบกับสภาพคล่องทั่วโลกมีจำนวนหลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชะลอขึ้นดอกเบี้ยและเตรียมยุติการดูดซับสภาพคล่อง ทำให้เงินต่างชาติต้องหาที่ลงทุน ขณะที่หุ้นไทยยังมีการถือครองของต่างชาติสัดส่วนน้อย
“นักลงทุนต่างชาติไม่ได้สนใจนักการเมืองเป็นรายบุคคล แต่จะดูการจัดตั้งรัฐบาลมีเสถียรภาพมากน้อยแค่ไหน, นโยบายเศรษฐกิจ รวมถึงความต่อเนื่องของโครงการขนาดใหญ่ เช่น EEC เป็นต้น ซึ่ง 1-2 วันภาพน่าจะชัดเจนขึ้น ส่วนเงินต่างชาติจะไหลเข้ามาถึงแสนล้านบาทตามที่ประเมินก่อนหน้านี้หรือไม่นั้นยังคงต้องรอความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาล “นายไพบูลย์ กล่าว