ความจริง ความคิด : เล่นพระ vs เล่นหุ้น

โดย…สาธิต บวรสันติสุทธิ์,CFP


สิ่งที่ผมสนใจ และมีความสุขที่ได้อยู่กับมัน (ไม่นับลูก เมีย) ในชีวิตแล้ว มี 2 เรื่อง คือ

อันดับแรก คือ เรื่องการเงินการลงทุน เพราะ 1. มันเป็นอาชีพในการหาเลี้ยงชีพ และ 2. การเงินการลงทุนเป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับชีวิต เพราะเราทุกคนย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่า เงินเป็นปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่งต่อความสุข ความมั่นคงในการดำเนินชีวิต ยิ่งเรียนรู้ และเข้าใจการเงินการลงทุนมากเท่าไร เราก็สามารถให้เงินช่วยหาเงินให้เราได้อีกทางหนึ่ง ช่วยให้เราสามารถสร้างอนาคตทางการเงินที่มั่นคงให้กับตนเองและครอบครัวได้ ช่วยให้เป้าหมายในชีวิตเป็นจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษาของลูก การมีบ้านของตนเอง การมีฐานะการเงินที่มั่นคง ฯ

อีกเรื่องที่ผมสนใจ ก็คือ พระเครื่อง แม้ยอมรับตรงๆเลยว่า ดูพระไม่เป็น จะรู้ว่าพระองค์ไหนของหลวงพ่ออะไร ก็ต่อเมื่อมีชื่อเขียนไว้ที่องค์พระเท่านั้น แต่ก็ชอบศึกษา มันเป็นความสุขทางใจเล็กๆน้อยๆ และยิ่งได้อ่านประวัติเกจิอาจารย์ต่างๆ ก็ยิ่งทึ่งในปฏิปทา และอำนาจของจิต สมาธิ ที่ก่อให้เกิดประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ที่บูชา ก็ยิ่งทำให้เกิดความสนใจและชอบในพระเครื่องมากยิ่งขึ้น

และเมื่อได้ศึกษาไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกการเล่นพระ กับการเล่นหุ้น หลักการหรือข้อคิดในการลงทุนก็เหมือนๆกัน สามารถนำเอาข้อคิดของการเล่นพระมาใช้กับการเล่นหุ้น หรือนำข้อคิดของการเล่นหุ้นมาใช้กับการเล่นพระได้เหมือนกัน อย่างเช่น

ต่อให้เป็นเซียนพระ ทุกคนก็เคยซื้อพระเก๊มาก่อน ไม่มีใครไม่เคยเสียเงินให้กับพระเก๊ แต่คนที่เป็นเซียนพระ ก็จะเอาความผิดพลาดนั้นเป็นครู ศึกษาพระเก๊ว่า เก๊ยังไง และทำไมตนเองถึงถูกหลอกได้ เป็นต้น

การลงทุนก็เหมือนกัน ไม่เคยมีใครที่เล่นหุ้นแล้วไม่ขาดทุน ทุกคนเคยผ่านการขาดทุนหมด เพียงแต่หลังจากที่ขาดทุนแล้ว แต่ละคนทำอย่างไรต่อต่างหาก บางคนเลือกที่จะออกจากการลงทุนไปเลย (ทำนองว่าเข็ดแล้ว) พวกนี้มักจะเก็บเงินในรูปเงินฝาก หรือกองทุนตราสารหนี้ เพราะความเสี่ยงต่ำ เงินต้นปลอดภัย แต่ก็ทำให้เสียโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดี เมื่อภาวการณ์ลงทุนที่เหมาะสมกลับมา

บางคนเลือกที่จะศึกษาข้อผิดพลาด และนำมาปรับปรุงเพื่อลงทุนต่อ พวกนี้มักจะเติบโตมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น เพราะรู้จักวิธีบริหารความเสี่ยงในการลงทุนดีขึ้น อีกพวกคือพวกที่ลงทุนต่อแต่ไม่ศึกษาข้อผิดพลาด ดังนั้นพวกนี้ก็มักจะเจ็บตัวเหมือนเดิม (ทำนองเจ็บแล้วไม่จำ) และมักจะจบด้วยความมั่งคั่งที่ร่อยหรอลงเรื่อยๆ คุณหล่ะเป็นพวกไหน

อย่าเล่นพระด้วยหู ในการซื้อขายพระ ผู้ขายมักมีเรื่องเล่ามากมายเพื่อเพิ่มความสนใจให้พระของตน อย่างเช่น เป็นของสะสมเก่าแก่สมัยคุณปู่ พระธุดงค์ให้มา รับมาจากมือหลวงพ่อโดยตรง เมตตาแรงจริงๆ ประสบการณ์เหนียวสุดๆ หรือ เพิ่งถูกล็อตเตอรีไป 2 งวดติดๆ ฯลฯ ถ้าเราหลงเชื่อเช่ามา โอกาสสูงที่เราจะเอาเงินแท้ ไปแลกพระเก๊ เอาง่ายๆ ถ้าพระแท้ ทำไมไม่ไปขายให้เซียนพระในสนามได้ราคาดีกว่า หรือถ้าพระดีจริง ทำไมไม่เก็บไว้เอง

ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ก่อนเช่าพระองค์ไหนก็ตาม ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระที่สนใจให้ดีเสียก่อน หรือถ้าไม่สามารถศึกษาหาความรู้ได้ ก็ควรจะเช่าพระจากผู้ที่ชำนาญจริง ไว้ใจได้ (ทั้งเก่ง ทั้งดี) และที่สำคัญถ้ามีการรับประกันคืนเงิน ถ้าพระที่เช่าเป็นพระเก๊ยิ่งดี

ทำนองเดียวกัน กับการลงทุน ข่าวเกี่ยวกับหุ้นต่างๆ มีมาทุกวัน และแต่ละวันก็มีหุ้นน่าซื้อ story สวยๆ ทั้งนั้น เช่น กำลังได้รับโปรเจคท์ใหม่ งบไตรมาสหน้าออกมาจะสวยเกินคาดหมาย ขาใหญ่กำลังไล่เก็บอยู่ หรือหุ้นตัวนี้มีเป้าทำราคาไปที่ … บาท ฯลฯ

โดยส่วนใหญ่ ข่าวเหล่านี้มักจะออกมาตอนหุ้นขึ้นไปมากแล้ว ถ้าเราซื้อ ราคาก็อาจขึ้นอีกนิดหน่อย และก็มักจะตกลงมาต่ำกว่าต้นทุนที่เราซื้อ กลายเป็นแมงเม่าติดยอดดอย (อีกแล้ว) ดังนั้น อย่าเล่นหุ้นด้วยหู หาความรู้ก่อนลงทุน ถ้าไม่มีเวลาหรือไม่มีความรู้ ก็ให้มืออาชีพลงทุนให้ดีกว่า เช่น ลงทุนผ่านกองทุนรวม เป็นต้น

อย่าประมาท แม้เลือกเช่าพระกับคนที่ไว้วางใจได้ ตามหลัก “กาลามสูตร” ขององค์พระพุทธเจ้าที่ทรงเตือนว่า อย่าเชื่อใคร หรือเชื่ออะไรง่ายๆ ผมอ่านเจอมาหลายเคสแล้ว เพราะคนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ขนาดเซียนพระที่เป็นเพื่อนกัน ยังหลอกกันเอง

ในแวดวงการเงินก็เหมือนกัน ที่โด่งดังที่สุดกรณีหนึ่ง ก็คือ กรณี “เบอร์นาร์ด แมดอฟฟ์” อดีตประธานตลาดหุ้นแนสแดค ที่ถูกจับในปี พ.ศ.2551 ในคดีฉ้อโกงด้วยธุรกิจแชร์ครั้งประวัติศาสตร์ ที่สร้างมูลค่าความเสียหายให้กับนักลงทุน ซึ่งประกอบไปด้วยสถาบันการเงิน มูลนิธิ มหาเศรษฐี คนมีชื่อเสียง นักการเมือง หรือแม้กระทั่งเพื่อนสนิทมิตรสหายของแมดอฟฟ์เอง เป็นจำนวนถึง 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และสุดท้ายนายแมดอฟฟ์ก็ถูกตัดสินลงโทษจำคุก 150 ปีในปี พ.ศ. 2552 เจอเรื่องนี้แล้ว ทำให้อดคิดถึงเพลง “คนที่ไว้ใจ ร้ายที่สุด” ของ น้ำชา ชีรณัฐ ไม่ได้ เฮ้อ “คนที่ไว้ใจ สุดท้ายร้ายที่สุด”

เล่นพระที่อยู่ในกระแส เช่น หลวงพ่อทวด พระเกจิที่มีชื่อเสียง เช่น หลวงพ่อพรหม หลวงปู่ทิม หลวงปู่โต๊ะ หลวงปู่ศุข ฯลฯ พระพวกนี้เป็นที่นิยม เพรามีปริมาณหมุนเวียนในตลาดมากพอสมควร ประวัติและพิมพ์พระชัดเจน มีจุดตัดสินเก๊แท้ เป็นต้น ทำให้เป็นพระที่มีราคาตลาด เปลี่ยนมือง่าย

การลงทุนในหุ้นก็เช่นกัน ควรลงทุนในหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง มีศักยภาพการทำธุรกิจที่ดี ผลการดำเนินงานดี และที่สำคัญมีสภาพคล่องหรือปริมาณซื้อขายในระดับที่ดี อย่างน้อยก็พอสมควร ไม่งั้น เผลอๆเราอาจต้องกลายเป็นผู้ลงทุนระยะยาวแบบจำยอม คือ ขายไม่ได้เพราะไม่มีคนซื้อ ก็เป็นได้

วันนี้พอแค่นี้ก่อนครับ ไว้มาคุยกันต่อครั้งหน้าครับ **ขอให้โชคดีได้พระหลักล้านในราคาหลักร้อย ได้หุ้นยอดเยี่ยม ในราคาถูกๆครับ**