PTTEP เล็งซื้อกิจการปิโตร “เมอร์ฟี่ฯ” ในเวียดนาม-บรูไน

HoonSsmart.com>> ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จะเจรจา”เมอร์ฟี่ ออยล์” ซื้อธุรกิจปิโตรเลียมในเวียดนามและบรูไน ภายใน พ.ค.นี้ ระบุการซื้อกิจการในมาเลเซีย ช่วยหนุน EBITDA ปีนี้เพิ่มขึ้นราว 16% ขณะที่วางแผนจะขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน วางกลยุทธ์การเติบโตจากการซื้อธุรกิจ ที่ดำเนินงานอยู่แล้ว เพื่อรับรู้รายได้เข้ามาทันที


นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) กล่าวว่า ดีลการเข้าซื้อหุ้นของบริษัท เมอร์ฟี่ ออยล์ คอร์ปอเรชั่น ในมาเลเซียใช้เวลาเจรจาค่อนข้างเร็ว เพราะทาง เมอร์ฟี่ ออยล์ฯ ต้องการที่จะขายธุรกิจในภูมิภาคนี้ และจะกลับไปเน้นทำธุรกิจในสหรัฐ และเม็กซิโก ขณะที่ PTTEP ก็วางกลยุทธ์การลงทุนหันมาลงทุนในไทย และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ “Coming Home”

PTTEP แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าบริษัท พีทีทีอีพี เอชเค ออฟชอร์ หรือ พีทีทีอีพี เอชเคโอ ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นทั้งหมดในบริษัทย่อยของ เมอร์ฟี่ ออยล์ คอร์ปอเรชั่น ได้แก่บริษัท เมอร์ฟี่ ซาบาห์ ออยล์ และบริษัท เมอร์ฟี่ ซาราวัก ออยล์ การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ครอบคลุมแหล่งน้ำมันและแหล่งก๊าซธรรมชาติ 5 โครงการในมาเลเซีย มีมูลค่าการซื้อขาย 2,127 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คาดว่าการซื้อขายจะเสร็จในไตรมาส 2 ปีนี้

นายพงศธร กล่าวอีกว่า การซื้อธุรกิจในมาเลเซียครั้งนี้ ทำให้ปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำที่ 5 ปี ก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 6 ปีเศษ และทำให้เพิ่มปริมาณการขายปิโตรเลียมตามสัดส่วนประมาณ 15% ส่งผลทำให้ปริมาณการขายรวมในปีนี้อยู่ที่ 344,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน จากเป้าหมายเดิมที่ 318,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน

นอกจากนี้ยังได้รับผลดีจากการที่ได้พนักงานของเมอร์ฟี่ ออยล์ฯ เข้ามาร่วมประมาณ 600 คน ซึ่งเป็นพนักงานที่มีประสบการณ์ในด้านสำรวจโครงการน้ำลึก ดังนั้นจะสามารถเข้ามาช่วยในการสำรวจแหล่ง MD 7 ในเมียนมา ซึ่งเป็นโครงการน้ำลึกได้

นายพงศธร กล่าวว่า บริษัทกำลังพิจารณาที่จะกลับเข้าไปทำธุรกิจในอินโดนีเซียอีกครั้ง แต่คงต้องใช้เวลาพิจารณา โดยทางการอินโดนีเซียมีแผนที่จะเปิดการประมูลแหล่งปิโตรเลียม ซึ่งมองว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตค่อนข้างสูง และโครงสร้างธรณีวิทยาก็คล้ายกับไทย

นอกจากนี้ยังมีดีลที่อยู่ระหว่างเจรจาอีกหลายดีล จะเน้นในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งวางกลยุทธ์ในระยะยาวจากการซื้อกิจการ ที่ดำเนินการอยู่แล้ว เพื่อที่จะได้รับรู้รายได้ทันที

นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ PTTEP กล่าวว่า เมอร์ฟี่ ออยล์ฯ มีความต้องการที่จะขายธุรกิจปิโตรเลียมในเวียดนาม และบรูไน ซึ่งได้สอบถามมายังบริษัทว่าสนใจหรือไม่ ก็ได้นัดเจรจาภายในเดือน พ.ค.นี้ โดยบริษัทจะต้องรอดูข้อมูลก่อน ขณะนี้จึงยังไม่สามารถบอกรายละเอียดได้

นายมนตรี กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจในปีนี้มีแผนที่จะสำรวจแปลงปิโตรเลียมที่มีอยู่ โดยจะสำรวจในเมียนมาร์ และมาเลเซีย จำนวน 8 แปลง คาดว่าจะใช้เงินลงทุนทั้งหมดประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตาม แปลงที่ซื้อจากเมอร์ฟี่ ออยล์ ในมาเลเซีย ซึ่งมี 2 แปลงที่จะสำรวจ คาดดำเนินการในปีหน้า

สำหรับค่าใช้จ่ายในเมอร์ฟี่ ออยล์ ที่มาเลเซียจะอยู่ที่ประมาณ 300-400 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี แต่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้ประมาณ 300-500 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ในช่วงระยะเวลา 4-5 ปีนี้

นายสัมฤทธ์ สำเนียง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานการเงินและการบัญชี PTTEP กล่าวว่า การซื้อหุ้นของเมอร์ฟี่ ออยล์ ในมาเลเซียใช้เงินลงทุน 2,127 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งบริษัทใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเข้าไปซื้อ เพราะบริษัทมีกระแสเงินสดจำนวน 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงไม่ส่งผลกระทบ นอกจากนี้สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทอยู่ที่ 0.16 เท่า ขณะที่บริษัทมีนโบายไว้ที่ 0.5 เท่า จึงยังทีความสามารถในการกู้สถาบันการเงินได้อีก 3-4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

นายสัมฤทธ์ คาดว่าหลังจากซื้อกิจการของเมอร์ฟี่ ออยล์ จะทำให้ปริมาณการขายในช่วง 5 ปี เติบโต 15-18% โดยปีแรกจะรับรู้ไม่เต็มปีจะอยู่ที่ราว 15% ส่วนในปี 2566 คาดว่าจะเติบโต 18% เพราะจะมีกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากโครงการซาบาห์ เอช เข้ามา ส่วน EBITDA ในปีนี้ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 16% จากเป้าหมายที่กำหนดไว้

รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มการเงินและการบัญชี PTTEP กล่าวว่า กลางปีนี้บริษัทจะมีการทบทวนงบลงทุนใหม่ หลังจากที่ได้ชนะการประมูลแหล่งบงกช และเอราวัณ รวมถึงได้มีการเข้าซื้อกิจการของเมอร์ฟี่ ออยล์ในครั้งนี้