HoonSmart>>ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า อยู่ในเกณฑ์ร้อนแรงเป็นเดือนแรกในรอบ 5 เดือน ผลเลือกตั้งที่ชัดเจนเป็นปัจจัยหลัก ยกกลุ่มธนาคารเด่นที่สุด อสังหาฯไม่น่าสนใจ บล.ซีจีเอสฯชี้ปลายปีดัชนีมีโอกาสถึง 2,000 จุด แนะนำซื้อBBL,BANK,CPALL,ROBINS,LH,WHA,AOTและTRUE
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO)เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนประจำเดือน มี.ค.2562 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า(พ.ค.)เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน และอยู่ในเกณฑ์ร้อนแรง (Bullish) เป็นเดือนแรกในรอบ 5 เดือน โดยอยู่ในระดับ 130.68 จากเดิมอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว เนื่องจากนักลงทุนเชื่อมั่นสถานการณ์การเมืองจากการเลือกตั้งที่ชัดเจน รองลงมานักลงทุนเชื่อมั่นผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนหรือบจ. ส่วนปัจจัยลบที่ยังต้องติดตามได้แก่สงครามการค้า, ความชัดเจน BREXITและปัจจัยภายในได้แก่เสถียรภาพรัฐบาลใหม่หลังเลือกตั้ง
“ทั้งกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ, กลุ่มบัญชีหลักทรัพย์ และนักลงทุนรายบุคคล มีความเชื่อมั่นอยู่ในระดับร้อนแรง ขณะที่กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ มีความเชื่อมั่นอยู่ในระดับทรงตัว (Neutral)”นายไพบูลย์กล่าว
สำหรับกลุ่มที่น่าสนใจลงทุนมากสุดได้แก่กลุ่มธนาคาร คาดว่าจะเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ส่วนกลุ่มที่ไม่น่าสนใจมากสุดได้แก่กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ได้รับผลกระทบจากมาตรการของธปท. ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าปีนี้จะซบเซาลง
นายไพบูลย์ให้ความเห็นว่า ปัจจัยที่ต้องติดตามได้แก่ เสถียรภาพของรัฐบาลใหม่ หากผลการเลือกตั้งชนะเด็ดขาด ทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ เป็นผลดีต่อตลาดทุน แต่ในทางกลับกัน หากจัดตั้งรัฐบาลมาจากหลายพรรค เสถียรภาพไม่มั่นคง จะมีผลต่อการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจได้เช่นกัน แต่มองว่าทิศทางตลาดหุ้นโดยรวม หลังการเลือกตั้งยังเป็นช่วงขาขึ้น
นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย กล่าวว่า จากการสำรวจผู้จัดการกองทุน และดีลเลอร์ คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) จะยังคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.75% ไปตลอดปีนี้ เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ชะลอการขึ้นดอกเบี้ย และภาวะเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ
ทั้งนี้นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนก.พ.นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดตราสารหนี้ไปแล้ว 27,205 ล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์สงครามการค้าคลี่คลาย เฟดชะลอการขึ้นดอกเบี้ย จึงขายตราสารหนี้ เพื่อนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น อย่างไรก็ตามการขายออกไม่ได้มากเมื่อเทียบกับยอดการถือครองของต่างชาติที่มีอยู่ 959,051 ล้านบาท และยังคงมีการถือครองพันธบัตรที่มีอายุยาวมากขึ้น
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) คาดว่า หลังจากการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปที่ระดับ 2,000 จุดได้ในช่วงปลายปีนี้ พิจารณาจากกำไรบจ.ในปี 2563 จะเติบโต 9% จะมีค่าพี/อี เรโช 15.5 เท่า แต่หากพิจารณาจากกำไรของบจ.ในปี 2562 ที่เติบโต 6% ดัชนีจะอยู่ที่ 1,850 จุด ค่าพี/อี เรโช ที่ 14.5 เท่า สถานการณ์การเมืองที่สงบเรียบร้อยมีผลดีต่อบรรยากาศการลงทุน และแรงซื้อไหลกลับเข้ามาหลังจากขายออกไปมากในปีก่อน รวมถึงปัจจัยต่างประเทศคลี่คลายและราคาน้ำมันไม่ปรับตัวขึ้นสูงเหมือนปีก่อน
“กำไรบจ.ในปีนี้ ดีกว่าปีก่อนที่ลดลง 4% เพราะไตรมาส 4/2561 กำไรลดลง 31.9% จากบจ.ในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีขาดทุนสต็อกน้ำมัน และการตั้งสำรองของกฎหมายแรงงานใหม่เกี่ยวกับด้านการเกษียณอายุ แต่หากตัดกลุ่มพลังงานออกไป กำไรจะลดลงเพียง 10.1% เท่านั้น “นายกิติชาญกล่าว
ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัย กล่าวว่า หุ้นกลุ่มที่แนะนำลงทุนได้แก่กลุ่มธนาคาร สินเชื่อจะเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น รวมถึงสามารถควบคุมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) ได้ดีขึ้น หุ้นเด่นได้แก่หุ้นธนาคารกรุงเทพ (BBL) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) รวมถึงกลุ่มค้าปลีกที่ดีตามภาวะเศรษฐกิจ หุ้นเด่น คือบริษัท ซีพีออลล์ (CPALL) หุ้นบริษัท โรบินสัน (ROBINS)
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ก็น่าสนใจจากราคาหุ้นปรับตัวลงไปมาก ผู้ประกอบการปรับกลยุทธ์รับมือมาตรการคุมเข้มของธปท. และคาดว่าดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้นอีก 1 ครั้งในปีนี้ โดยหุ้นที่แนะนำได้แก่บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH)
กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม จะได้รับผลดีจากเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุน หุ้นที่แนะนำได้แก่บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) กลุ่มท่องเที่ยว บริษัท ท่าอากาศยานไทย (AOT), กลุ่มไอซีที จะได้รับผลดีหากมีการยืดการจ่ายค่าสัมปทานคลื่น 900 ออกไป มูลค่า 6 หมื่นล้านบาท โดยมีหุ้นบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) เป็นหุ้นเด่นของกลุ่ม ขณะที่กลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี ได้รับผลดีจากราคาน้ำมันฟื้นตัว