บลจ.ยูโอบี ออกกองทุนหุ้นจีน มั่นใจศก.เติบโต ราคาไม่แพง

HoonSmart.com>>บลจ. ยูโอบี มองเศรษฐกิจจีนเติบโตดีในระยะยาว โดดเด่นในเอเชีย ด้านราคาหุ้นไม่แพง หลังปรับตัวลงปีก่อนจากสงครามการค้า ฉุดพี/อี ต่ำเมื่อเทียบภูมิภาคอื่นและอเชีย สบช่องออกกองทุนใหม่ “ยูไนเต็ด ออล ไชน่า อิควิตี้ ฟันด์” ลงทุนตลาดหุ้นจีน และฮ่องกง เปิดขายครั้งแรก 18-25 ก.พ.นี้

น.ส.รัชดา ตั้งหะรัฐ ประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เศรษฐกิจของจีนมีแนวโน้มเติบโตระยะยาวที่ดีจากปัจจัยต่างๆ ทั้งจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจมหภาค การลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐาน โครงสร้างประชากร รวมถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ ที่เข้ามาสนับสนุนระบบการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยหลังจากที่ตลาดหุ้นจีนในปี 2561 ปรับตัวลงจากประเด็นผลกระทบต่างๆ โดยเฉพาะจากเรื่องสงครามการค้ากับสหรัฐฯ บลจ.ยูโอบี มองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าลงทุน เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจจีนยังคงแข็งแกร่ง รวมถึง valuation ตลาดที่อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย

รัชดา ตั้งหะรัฐ

นอกจากนี้รัฐบาลจีนยังคงออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านนโยบายการเงินในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย หรือนโยบายการคลังในการปรับลดภาษี จึงเล็งเห็นว่าการลงทุนในบริษัทจีนจึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค

น.ส.รัชดา กล่าวว่า บลจ.ยูโอบี นำเสนอกองทุนปิด ยูไนเต็ด ออล ไชน่า อิควิตี้ ฟันด์ (UCHINA) ที่ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ ชื่อ UBS (LUX) Equity SICAV – All China (USD) I-A1-acc (กองทุนหลัก) ซึ่งบริหารจัดการโดย UBS Fund Management (Luxembourg) S.A. โดยกระจายการลงทุนไปยังหุ้นที่จดทะเบียนในประเทศจีนและฮ่องกง รวมถึงหุ้นของบริษัทจดทะเบียนของประเทศอื่นที่มีการดำเนินธุรกิจในจีนเป็นหลัก

กองทุนหลักมีกลยุทธ์การบริหารกองทุนแบบเชิงรุก มีนโยบายการลงทุนที่ยืดหยุ่น (Dynamic) โดยไม่ได้มีการกำหนดสัดส่วนการลงทุนระหว่างตลาด Onshore และตลาด Offshore ซึ่งจะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุนในการคัดเลือกหุ้นแบบ Bottom-up และผู้จัดการกองทุนหลักมี Track record ที่ดีในการบริหารกองทุนหุ้นจีนอื่นๆ ทั้งกองทุนหุ้นจีนที่ลงทุนในตลาด Onshore และตลาด Offshore ผู้ลงทุนจึงมั่นใจได้ว่ามีผู้จัดการกองทุนที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์บริหารกองทุนเพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้

สำหรับเศรษฐกิจจีนได้รับแรงกดดันจากการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศและสงครามการค้ากับสหรัฐฯ โดยแนวโน้มสงครามการค้าสหรัฐฯและจีนอาจลดความรุนแรงลงในระยะกลาง หากทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าได้ภายในเวลา 90 วัน ซึ่งจากแรงกดดันเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตและดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) โดยทำให้อัตราการขยายตัวต่ำลง โดยภาคการผลิตปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งสะท้อนถึงการชะลอตัว ขณะที่ภาคการบริการยังคงอยู่ในระดับที่ดี และปัจจุบันจีนมีการเปลี่ยนจากอุตสาหกรรมภาคการผลิตมาเป็นการบริโภคภายในประเทศ (ภาคการบริการ) มากขึ้น ซึ่งการบริโภคภายในประเทศที่ยังขยายตัวได้ดีนี้จะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจจีนในปี 2562 นี้

อีกทั้งรัฐบาลและธนาคารจีนส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายมากขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2562 โดยรัฐบาลจีนเริ่มออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ เพื่อมุ่งให้การเติบโต GDP อยู่ในเป้าหมายที่ 6.2% ในปี 2562 และปี 2563 ซึ่งทางด้านนโยบายการเงินมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระยะกลางให้อยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งมีการลดสัดส่วนการดำรงเงินสำรองธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลงอีกเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในภาคธนาคารในการปล่อยสินเชื่อธุรกิจ SMEs

ส่วนนโยบายการคลังมีการปรับลดภาษี และคาดว่า VAT จะถูกปรับลดลงอีกในปี 2562 นี้ ซึ่งจะส่งผลให้ GDP โตขึ้นอีกในอัตรา 0.9 – 1.6% นอกจากนี้รัฐบาลยังได้ออกตราสารหนี้ลักษณะพิเศษ (Special Bond) ในการ Funding เพื่อสนับสนุนการลงทุนของรัฐบาลท้องถิ่น ขณะที่รัฐบาลยังคงให้การสนับสนุนการทำธุรกิจของภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็กอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่ามาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจเหล่านี้ จะช่วยลดผลกระทบจากสงครามการค้าได้บางส่วน

อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจของจีนยังคงมีแนวโน้มการเติบโตระยะยาวที่ดี โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยต่างๆ ได้แก่ การบริโภคภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น ซึ่งการบริโภคนี้คิดเป็นสัดส่วนกว่า 55% ของมูลค่า GDP จากตลาดสินค้า online ที่ขยายตัวกว่า 32% ในปี 2560 และกว่า 30% ในปี 2561 และยังมีโอกาสเติบโตขึ้นอีกอย่างมากในอนาคตจากรายได้ประชากรที่เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ปัจจัยของการขยายตัวของเมือง (Urbanizing) ที่มีการขยายจำนวนประชากรที่ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองมากขึ้น ช่วยสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศ ปัจจัยด้าน R&D และนวัตกรรม (Innovation) ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในช่วงหลายๆปีที่ผ่านมา ที่ทำให้คุณภาพสินค้าดีขึ้น การเข้าถึงบริการต่างๆสะดวกสบายมากขึ้น และปัจจัยสุดท้ายคืออายุเฉลี่ยของประชากรจีนที่เพิ่มมากขึ้น (Demographics) ที่สนันสนุนให้มีการลงทุนในอุตสาหกรรมการแพทย์ โดยคาดว่าตลาด healthcare จะโตกว่า 9.3% ต่อปี ระหว่างปี 2560 ถึง 2573 (ที่มา : UBS Asset Management, ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2561)

ปัจจัยดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจจีนและเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนในตลาดจีน โดยตลาดหุ้นจีนมี valuation ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ทั้งตลาด Onshore และตลาด Offshore โดยปัจจุบัน ตลาด Offshore มีค่า forward P/E ที่ระดับ 8.1 เท่า ส่วนตลาด Onshore มีค่า Forward P/E อยู่ที่ 9.7 เท่า ซึ่งต่ำกว่าตลาดหุ้นอื่นๆทั้งในภูมิภาคและภูมิภาคอื่นๆ ขณะที่ EPS growth ปี 2562 ตลาด Offshore ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 5% ส่วนตลาด Onshore อยู่ที่ 26% (ที่มา : Bloomberg, ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2561) ถือเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนในกองทุน UCHINA เพื่อโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีพร้อมกับการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในระยะยาว

ทั้งนี้ กองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน เปิดขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 18-25 ก.พ.2562 สามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการและได้รับเงินค่าขายคืน T+5