HoonSmart.com>>”เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้” กวาดกำไรไตรมาสแรก 684 ล้านบาท เติบโต 190% รายได้พุ่ง 1,993 ล้านบาท หรือ 341% ผู้บริหารชี้ดีเกินคาด ลุยออกหุ้นกู้ 5 พันล้านบาท มั่นใจผลงานทั้งปีตามเป้า
นายโสภณ ราชรักษา ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) หรือ FPT เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 1 ปีงบประมาณ 2562 (1 ตุลาคม- 31 ธันวาคม 2561) ว่า บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 684 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 448 ล้านบาท หรือ 190% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้รวมทั้งสิ้น 2,577 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,993 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 341% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทมีรายได้จากค่าเช่าโรงงาน และคลังสินค้ารวมกว่า 390 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีอัตราพื้นที่เช่าโรงงาน (Occupancy Rate) 72% เพิ่มขึ้นจาก 68% และอัตราพื้นที่เช่าคลังสินค้า 79% เพิ่มขึ้นจาก 71% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังมีการรับรู้รายได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (FTREIT) ในเขตพื้นที่จังหวัดชลบุรี สมุทรปราการ อยุธยา ปทุมธานี ปราจีนบุรี มูลค่ารวมกว่า 1,907 ล้านบาท สะท้อนถึงศักยภาพในการดำเนินงานที่น่าพึงพอใจ
บริษัทเชื่อมั่นว่าจะยังคงส่งมอบผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในรอบบัญชีปีนี้ ขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะขับเคลื่อนธุรกิจตามแผนกลยุทย์เพื่อรุกตลาด หลังจากการเปลี่ยนชื่อบริษัทอย่างเป็นทางการเป็น เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย และสัญลักษณ์การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็น FPT บริษัทจะได้รับประโยชน์จากความรู้ ความเชี่ยวชาญ และเครือข่ายธุรกิจทั่วโลกที่มีความแข็งแกร่งของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้
สำหรับการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของผลการดำเนินงานที่กล่าวมาข้างต้น เป็นผลมาจากกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจที่สอดคล้องกับเทรนด์อุตสาหกรรมและความต้องการของผู้ประกอบการในปัจจุบัน รวมถึงการได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงปลายปีที่ผ่านมา บริษัทได้พัฒนาคลังสินค้าให้แก่ เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ โลจิสติกส์ (BJC) เพื่อรองรับการจัดเก็บสินค้าประเภทสุขภาพ และความงาม และพัฒนาคลังสินค้าแบบสร้างตามความต้องการของลูกค้า (Built-to-Suit) ให้แก่ เพาเวอร์บาย (Power Buy) บนทำเลยุทธศาตร์บางพลีเพื่อเป็นศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
นอกจากนี้ โครงการโรงงานและคลังสินค้าที่ได้รับความนิยมได้แก่ โครงการในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษตะวันออก หรือ อีอีซี (EEC) ซึ่งผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ยังคงเป็นกลุ่มที่มีการขยายงานสูงในช่วงที่ผ่านมา สืบเนื่องจากภาวะการส่งออกและความชัดเจนจากการดำเนินการตามแผนการพัฒนาอีอีซีของภาครัฐ
นายโสภณ กล่าวว่า สำหรับแผนการดำเนินงานในปีนี้ ภายหลังการเปลี่ยนชื่อบริษัทอย่างเป็นทางการเมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ได้มีการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์และจัดทัพองค์กรใหม่ เพื่อมุ่งหน้าขยายธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภทมากขึ้น ในขณะที่ยังเดินหน้าพัฒนาความเป็นเลิศทางด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้านอุตสาหกรรม พร้อมนำเสนอบริการและโซลูชั่นที่ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม เผยเป้าปีนี้จะขยายการพัฒนาพื้นที่ให้บริการแบบ Built-to-Suit เพิ่มขึ้นประมาณ 120,000 ตารางเมตร และเพิ่มอัตราการเช่าพื้นโรงงานและคลังสินค้า (Occupancy Rate) ให้สูงขึ้นประมาณร้อยละ 80
อีกทั้งยังเตรียมแผนการพัฒนาธุรกิจและการจัดการที่ดินขนาดใหญ่ (Land Bank) หลังการชนะการประมูลที่ดินขนาด 4,300 ไร่ บนทำเลยุทธศาสตร์บางนา-ตราด กม. 32 เพื่อนำมาพัฒนาเป็นเมืองอุตสาหกรรม(Township) พร้อมเดินหน้าพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ (Hyperscale Data Centre) บนพื้นที่ 15 ไร่ ย่านรามคำแหง ล่าสุดได้จับมือกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์อย่าง สหไทย เทอร์มินอล เพื่อลงทุนพัฒนาและบริหารโครงการโลจิสติกส์ พาร์ค และศูนย์กระจายสินค้าบนพื้นที่กว่า 50 ไร่ ในเขตพื้นที่ศูนย์กลางย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ
“ผลงานไตรมาสแรกถือว่าเหนือความคาดหมาย มั่นใจผลการดำเนินงานในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมาย พร้อมนำองค์กรสู่การเป็นผู้นำการให้บริการสมาร์ทแพลตฟอร์มด้านอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภท” นายโสภณ กล่าว
นอกจากนี้เมื่อวันที่ 15 ก.พ.2562 บริษัทได้ออกและเสนอขายหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2562 มูลค่า 5,000 ล้านบาท เสนอขายผู้ลงทุนสถาบันและหรือผู้ลงทุนรายใหญ่ ซึ่งได้รับอนุมัติจากที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 25 ม.ค.2562 และเป็นไปตามเงื่อนไขที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผูัถือหุ้นประจำปี 2558
สำหรับหุ้นกู้ดังกล่าวแบ่งเป็น 4 ชุด ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี 1 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.61% ต่อปี ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.91% ต่อปี ชุดที่ 3 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.36% ต่อปีและชุดที่ 4 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.80% ต่อปี โดยชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้ทุกๆ 6 เดือนในวันที่ 15 ก.พ.และ 15 ส.ค.ของทุกปี