แมนูไลฟ์ชี้หุ้นสวิงฉุดดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนต่อตลาดเอเชียลด

“แมนูไลฟ์” เผยตัวเลขดัชนีความเชิ้ื่อมั่นต่อตลาดเอเชียปรับตัวลดลง เหตุตลาดผันผวน กังวลสงครามการค้า ทีมจัดการลงทุนจับตาสถานการณ์ใกล้ชิด

ตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนแมนูไลฟ์ (Manulife Investor Sentiment Index (“ดัชนี MISI”)) ที่มีต่อหลักทรัพย์ในตลาดเอเชียล่าสุด ได้ลดลง 8 จุดจากเดือนมกราคม (40 จุด) ถึงเดือนมีนาคม (32 จุด) โดยที่ความเชื่อมั่นของหลักทรัพย์ในตลาดฮ่องกงได้ลดลงมากที่สุดถึง 19 จุด จากการที่ตลาดหลักๆ มีความผันผวน สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากความกังวลว่าจะเกิดสงครามทางการค้า (Trade War) เนื่องจากสหรัฐฯ ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน และทางการจีนก็ได้ตอบโต้ด้วยการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เช่นกัน ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดฮ่องกงลดลง 19 จุด (จาก 32 เหลือ 13 จุด) ไต้หวันลดลง 12 จุด (จาก 12 เหลือ 0 จุด) และไทยลดลง 15 จุด (จาก 48 เหลือ 33 จุด) โดยตลาดเหล่านี้เป็นตลาดที่มีการลดลงมากที่สุด

การที่ตัวเลขดัชนี MISI สำหรับหลักทรัพย์ลดลงนั้น แสดงให้เห็นถึงความกังวลของนักลงทุนว่าจะเกิดสงครามทางการค้า แต่เรื่องสงครามการค้าโลกนั้นไม่ใช่แบบจำลองสถานการณ์ที่เราใช้ ถึงแม้ว่าทีมลงทุนของทางเราจะเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดในเรื่องนี้ก็ตาม ทั้งนี้ หากสถานการณ์ตึงเครียดขึ้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีน่าจะได้รับผลกระทบจากการแข่งขันในเรื่องการพัฒนาด้านเทคโนโลยี แต่สิ่งที่ทางเราสนใจมากกว่า นั่นคือความเปลี่ยนแปลงภายในภูมิภาคเอง

นายโรนัลด์ ชาน ประธานเจ้าหน้าสายงานการลงทุน ตราสารทุนเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) Manulife Asset Management กล่าวว่า เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย มีพื้นฐานที่แข็งแกร่งและแข็งแรงพอที่จะทานกระแสความขัดแย้งทางการค้าของโลกได้ เนื่องจากภูมิภาคนี้มีความหลากหลายทางเศรษฐกิจ ตั้งแต่เศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ไปจนถึงเศรษฐกิจขนาดเล็ก จากเศรษฐกิจที่เน้นการส่งออกไปจนถึงการการเติบโตภายในประเทศ ภูมิภาคนี้ยังสร้างรายได้ที่ดีและมีสภาพคล่องสูง

ขณะนี้ภูมิภาคเอเชียมีการเปลี่ยนแปลงจากเศรษฐกิจภายใต้การฟื้นฟูหลังวิกฤติเศรษฐกิจ (Post-Global Financial Crisis – GFC) มาสู่ภาวะเศรษฐกิจแบบปกติแล้ว โดยในภาวะปกติภูมิภาคนี้มีทั้งโครงสร้างและวงจรเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ดังนั้น ในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนนี้ การเน้นการลงทุนในหุ้นแบบ Bottom-up โดยเลือกลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีพื้นฐานดี จึงเป็นปัจจัยที่สำคัญ

“ขณะที่ตลาดหันไปให้ความสนใจกับเรื่องผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากความขัดแย้งทางการค้า เราเชื่อว่าตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจในเอเชียจะมาจากผลงานภายในภูมิภาคมากว่า โดยเฉพาะในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนนี้ ดังนั้น นักลงทุนควรเน้นลงทุนในหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากความแข็งแกร่งเของเศรษฐกิจภายในภูมิภาค โดยผลกระทบด้านดีจากการพัฒนาในเศรษฐกิจระดับจุลภาคเริ่มเห็นได้ชัดแล้ว เช่น การฟื้นตัวของการค้าปลีก รวมถึงการปฏิรูปนโยบายด้านการให้บริการสุขภาพในจีน ส่วนอาเซียนเองก็เริ่มมีบทบาทและมีความสำคัญต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้” นายโรนัลด์กล่าว

ด้านนางสาวจินตนา เมฆินทรางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด (บลจ.แมนูไลฟ์) กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับมุมมองเศรษฐกิจไทยนั้น มองว่ายังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง จากภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว ส่วนการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานมีทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่การเบิกจ่ายช่วงต้นอาจมีความล่าช้าจากการปรับเปลี่ยนวิธีการ การลงทุนภาคเอกชนโดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจอีอีซี คาดว่าจะเห็นความคืบหน้าชัดเจนภายหลังการประกาศใช้พ.ร.บ.เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC Act)ในปีนี้ ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการจ้างงานในประเทศ ส่วนประเด็นการค้าสหรัฐ-จีน มองว่าสงครามการค้ามองเป็นแค่เกมต่อรองผลประโยชน์มากกว่า