บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) มีจุดเด่นมากกว่าที่เห็นกำลังการผลิตติดตั้งที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นมากกว่า 3,126 เมกะวัตต์ “ความเชื่อถือ”เป็นจุดแข็งของบริษัท ทำให้ได้โครงการโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศขนาดใหญ่ รวมถึงนักลงทุนสถาบันไทยและต่างชาติเข้ามาลงทุนในหุ้น หุ้นกู้ และกรีนบอนด์ ส่งผลให้บริษัทเติบโตอย่างมีคุณภาพ (Healthy Growth) ถือเป็นหุ้นยั่งยืน นักลงทุนสามารถลงทุนระยะยาวได้อย่างสบายใจ เมื่อพิจารณาจากโครงการใหม่ๆที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง และอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าทุกที่ไม่ต่ำกว่า 20 ปี
“ปรียนาถ สุนทรวาทะ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ ให้สัมภาษณ์ www.HoonSmart.com ว่า ในปี 2561 ถือว่าเป็นปีที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด มีเรื่องดีๆ และเหนือความคาดหมายเข้ามาหลายเรื่อง บริษัทได้โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในประเทศเวียดนาม กำลังการผลิตติดตั้ง 420 เมกะวัตต์ ถือว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียนมาแล้ว ก็ไม่คิดว่าจะได้เพิ่มอีก 257 เมกะวัตต์ แต่ไม่ใช่เป็นเพราะโชค เกิดจาก“ความเชื่อถือที่มีต่อเรา”
ปัญหาใหญ่ของการลงทุนที่เวียดนามคือ ที่ดินขนาดใหญ่ ขนาดนั้นหายาก เมื่อเรามีที่ดินพร้อม ก็ถึงเวลาก่อสร้าง ซึ่งในสัญญาให้เวลาดำเนินการไม่มากนัก แต่พันธมิตรของเรา Energy China และ Power China ผู้พัฒนาโครงการที่มีความพร้อมทั้งทางด้านเทคโนโลยีและการเงินที่มั่นคงแข็งแกร่ง ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาในการขอสินเชื่อโครงการ และไม่ต้องจ่ายค่าก่อสร้าง พันธมิตรสร้างให้ก่อน แค่จ่ายเงินงวดแรกเท่านั้น เมื่อสร้างเสร็จถึงจ่ายเงินส่วนที่เหลือ ซึ่งขณะนี้มั่นใจว่าทั้งสองโครงการจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD)ได้ทันตามกำหนดภายในวันที่ 30 มิ.ย. 2562
ในปี 2561 เรายังมีความภูมิใจเรื่องที่บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ เป็น“บริษัทไทยรายแรกที่ออกกรีนบอนด์ “มูลค่า 5,000 ล้านบาท โดยธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ให้การสนับสนุน 100% เป็นกรีนบอนด์ที่ได้มาตรฐานสากลเข้มทุกด้าน ไม่ได้ดูเฉพาะผลงานเท่านั้น
นอกจากนั้นบริษัทยังประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้ มูลค่า 6,700 ล้านบาทด้วย
ขณะเดียวกันบริษัทยังมีต้นทุนทางการเงินลดลงอย่างต่อเนื่อง จากปี 2559 อยู่ที่ 4.9% มาเหลือเพียง 4.65 ณ สิ้นไตรมาส 3/2561 เพราะผลของการชำระคืนเงินกู้ และการออกหุ้นกู้ต่างๆ
“เราได้นักลงทุนที่มีคุณภาพเข้ามาลงทุนในหุ้นสามัญ หุ้นกู้ และกรีนบอนด์ ก็หวังว่าจะเข้ามาถือมากขึ้นในอนาคต แต่ยอมรับว่าหุ้นมีปริมาณหมุนเวียนในตลาดไม่มากนัก ผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่ขายออกมา เพราะมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่ดี โตตามปัจจัยพื้นฐานจริงๆ ทำให้เมื่อเกิดแพนิค ราคาหุ้นลงไม่มาก ถือเป็นหุ้นปลอดภัยตัวหนึ่ง”
ส่วนกรณีที่ราคาหุ้น BGRIM เคลื่อนไหวแถว 29 บาทมานาน “ปรียนาถ”กล่าวว่า ก็ไม่ได้วิตกกังวลที่ราคาหุ้นนิ่ง คงเพราะคนอาจจะยังไม่เข้าใจเท่าที่ควร เรื่องที่บริษัทออกไปลงทุนที่เวียดนาม ต้องรอให้ผลกำไรออกมาก่อนในกลางปีนี้ ทั้งนี้ประเทศเวียดนามมีการปรับปรุงกฎเกณฑ์เรื่องไฟฟ้ามาตั้งแต่ปี 2557 PPA ใกล้เคียงกับของไทย บางเรื่องกลับมีความชัดเจนมากกว่า ทำให้มีความเสี่ยงต่อนักลงทุนต่ำ
บริษัทเติบโตอย่างมั่งคงได้ เพราะมีบุคคลากร มีระบบที่ให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นทีม นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้า เช่นลดจำนวนวันในการปิดซ่อมบำรุงจาก 18-20 วัน ลงมาเหลือ 14 วัน มีเป้าที่จะลดลงเหลือตัวเลขหลักเดียว รวมถึงการลดต้นทุนการก่อสร้างด้วย ปัจจุบันโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ใช้เงินลงทุนประมาณ 1 ล้านเหรียญ/เมกะวัตต์ ส่วนโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซ 1.1-1.2 ล้านเหรียญสหรัฐ/เมกะวัตต์ เพื่อให้ได้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนไม่ต่ำกว่า 12% และให้ผลประโยชน์กับผู้รับซื้อไฟฟ้าและไอน้ำมากที่สุด กรณีโรงไฟฟ้า SPP ของบริษัท มีอิบิทดามาร์จิ้น อยู่ที่ระดับ 25-28% ถือว่าสูงเทียบกับอุตสาหกรรม
“เราตั้งวิชั่น 5 ปี มีกำลังการผลิตติดตั้ง 5,000 เมกะวัตต์ หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งทำได้เกินเป้าหมาย ตอนนี้มีอยู่ในมือ 3,126 เมกะวัตต์ จากปีก่อนหน้ามีจำนวน 2,445 เมกะวัตต์ หลังจากออกไปขยายการลงทุนระดับภูมิภาคมากขึ้น เน้นในกลุ่มอาเซียน และในเกาหลี เรามีโครงการในลาว เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา และเชื่อว่าในประเทศไทยยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก ในเวียดนาม ยังเห็นศักยภาพการเติบโตได้เช่นกัน แต่ต้องทำแล้วมีกำไร ซึ่งพันธมิตรเชื่อว่าเรามีประสิทธิภาพในการหาโปรเจกต์ และความน่าเชื่อถือ”
สำหรับในปี 2562 คาดว่ารายได้และกำไรเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน จากโรงไฟฟ้าเวียดนาม 2 โครงการ รวม 677 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังงานขยะอุตสาหกรรม 4.8 เมกะวัตต์คาดว่าจะ COD ในเดือนธ.ค.นี้ นอกจากนี้ยังจะรับรู้รายได้เต็มปีจาก SPP 3 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 399 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าโซลาร์สำหรับหน่วยราชการและสหกรณณ์ภาคการเกษตรกำลังการผลิตติดตั้ง 30.8 เมกะวัตต์จะเปิดดำเนินการ รวมถึงต้นทุนทางการเงินที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากการออกหุ้นกู้มารีไฟแนนซ์ในช่วงเดือน พ.ค.และ ต.ค.ที่ผ่านมา
กลยุทธ์ของบริษัทไม่เบี่ยงเบนไปทำอะไรนอกกลุ่มพลังงาน เรื่อง LNG เรามองเป็นอนาคตของโลก ก็สนใจดูอยู่ เช่นเดียวกับ สมาร์ทกริด และยังมองหาโอกาสในการลงทุนในประเทศต่างๆในแถบ CLMV อยู่ระหว่างการเจรจาร่วมทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ในประเทศเกาหลี และเล็งเห็นศักยภาพในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในเวียดนาม รวมถึงโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในเกาหลี ฟิลิปปินส์ กัมพูชา มาเลเซีย นอกจากนี้ยังมีโรงไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างและพัฒนาอีกหลายโครงการที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในปี 2565 ทำให้กำไรเติบโตในระยะยาว…