บลจ.กรุงไทย ปลื้มปี 2561 โตกว่าอุตสาหกรรม ปีนี้ลุยต่อ ตั้งเป้าเพิ่ม AUM มากกว่า 10% ออกกองทุนใหม่ไม่ต่ำกว่า 5 กองทุน เริ่มกลาง ก.พ. เปิดขายกองทุน KT-SAGA กระจายลงทุนทุกสินทรัพย์ทั่วโลก
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย (KTAM) กล่าวว่า ณ สิ้นปี 2561 มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (AUM) ของบริษัทอยู่ที่ 776,382 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62,135 ล้านบาท หรือ 8.7% แม้ว่าจะเติบโตน้อยกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ เนื่องจากความผันผวนของตลาดทุน แต่ถือว่าน่าพอใจ เพราะเป็นอัตราการเติบโตที่ดีกว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวเพียง 3.4% เท่านั้น
อัตราการเติบโตของ AUM มาจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ โครงสร้างพื้นฐาน ที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ เพิ่มขึ้น 30.6% อยู่ที่ 109,567 ล้านบาท จากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund – TFFIF) และบริษัทเป็นทรัสตีให้กับทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ 1 กองทุน
ขณะที่กองทุนส่วนบุคคล มีอัตราการเติบโตมากที่สุด โดยเพิ่มขึ้น 55.3% มาอยู่ที่ 71,468 ล้านบาท
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ อยู่ที่ 99,123 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.1% เนื่องจากบริษัทได้รับความไว้วางใจให้บริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงาน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของพนักงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของกลุ่มบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พนักงาน บริษัทการท่าอากาศยานไทย จำกัด
กองทุนรวม อยู่ที่ 496,224 ล้านบาท ลดลง 0.4% จากภาวะความผันผวนของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง กองทุนรวมหุ้นระยะยาว ( LTF) อัตราการเติบโตใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมอยู่ที่ 3.8% กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ( RMF) เพิ่มขึ้น3.4% สูงกว่าอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ 2.5% กองทุนต่างประเทศ เพิ่มขึ้น 22.2% ในขณะที่อุตสาหกรรม -4.3%
“ในปี 2562 บริษัทตั้งเป้าอัตราการเติบโตของ AUM ไว้ที่ 878,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 10% โดยมีแผนที่จะเปิดจำหน่ายกองทุนใหม่ๆ ที่มีความหลากหลายมากขึ้น ในเบื้องต้นตั้งเป้าหมายไว้ไม่ต่ำกว่า 5 กองทุน” นางชวินดา กล่าว
นางชวินดา กล่าวอีกว่า กลางเดือนกุมภาพันธ์ 2562 จะเปิดขายกองทุนเปิดกรุงไทย สตราทีจิก แอคทีฟ โกลบอล แอลโลเคชั่น (KT-SAGA) ซึ่งจะกระจายลงทุนในดัชนีต่างประเทศทั่วโลก ทั้งตราสารทุน และตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์/REITs ทองคำ น้ำมัน โดยเป็นรูปแบบ Fund of Fund ผ่านกองทุนรวมอีทีเอฟ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงไปยังต่างประเทศ และต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงกว่า Benchmark ในระยะกลางถึงยาว
นายวีระ วุฒิคงศิริกูล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ผู้บริหารสายงานจัดการลงทุน กล่าวว่า “ตอนนี้ต้องให้ความสำคัญกับการทำ Asset Allocation แต่จะให้นักลงทุนผสมเองอาจจะยาก เราจึงจัดการให้ ตลาดหุ้นเติบโตมา 2 ปีติดต่อกัน (ปี 2559-2560) เพราะฉะนั้นการชะลอตัวลงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ยังมีหลายตลาดทั่วโลกมีความน่าสนใจ หลังจากราคาปรับลดลงไปมากแล้ว”