ราคาน้ำมันดิบพุ่งกว่า 3.3% รับโอเปกลดการผลิต-จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบในสหรัฐลดลงมากสุดในรอบ 3 ปี หนุน WTI ปิด 53.80 เหรียญสหรัฐฯ
บริษัท ไทยออยล์ เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์และเวสต์เท็กซัสปรับตัวเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 3 หลังผู้ผลิตกลุ่มโอเปกเปิดเผยโควต้าการปรับลดกำลังการผลิตรายประเทศ เพื่อเป็นแนวทางในการปรับลดกำลังการผลิตอีก 6 เดือน ไปจนถึงเดือน มิ.ย.62 ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานล้นตลาด
นอกจากนี้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีแนวโน้มคลี่คลายลง หลังจีนเสนอที่จะเพิ่มการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เป็นเวลา 6 ปี รวมมูลค่ามากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ที่มีต่อจีนจาก 3.23 แสนล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้า ให้เหลือศูนย์ภายในปี 2567
ขณะที่ Baker Hughes รายงานจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์ ณ วันที่ 18 ม.ค.62 ได้ปรับลดลงมากที่สุดในรอบเกือบ 3 ปีที่ 21 แท่น มาอยู่ที่ 852 แท่น เนื่องจากผู้ผลิตในสหรัฐฯ ชะลอการขุดเจาะน้ำมันดิบลง หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงร้อยละ 25 ในปีก่อนหน้า ด้านสำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันโลกปี 2562 จะยังคงเติบโตที่ 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า เนื่องจากคาดการณ์ว่าความต้องการใช้น้ำมันจะได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงในช่วงก่อนหน้า
ราคาน้ำมันดิบ เวสต์เท็กซัส (WTI) ปิดวันที่ 18 ม.ค. 62 อยู่ที่ 53.80 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.73 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล หรือ 3.3% เบรนท์ ปิด 62.70 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.52 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์นี้ บริษัท ไทยออยล์ คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสเคลื่อนไหวในกรอบ 50 -55 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวในกรอบ 60 – 65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ปัจจัยที่น่าจับตามอง คือ สถานการณ์ในสหราชอาณาจักร หลังแผนการตกลง BREXIT ที่นายกรัฐมนตรี เทเรซา เมย์ถูกปฏิเสธโดยเสียงส่วนใหญ่ ซึ่งนับเป็นการพ่ายแพ้ด้วยคะแนนเสียง 202 ต่อ 432 ส่งผลให้ประเทศอังกฤษอาจต้องถอนตัวจากสหภาพยุโรปโดยไม่มีข้อตกลงใดๆ ทั้งสิ้น หรืออาจยกเลิก BREXIT หากไม่สามารถเสนอแผน BREXIT ฉบับใหม่ได้ภายในเวลาที่กำหนด รวมถึงเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น หลังรัฐบาลจีนส่งสัญญาณออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง และปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังกำลังการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐฯ ได้ปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดที่ 11.9
ล้านบาร์เรลต่อวัน ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่ โรงกลั่นในสหรัฐฯ ได้ปรับลดกำลังการกลั่นและมีแนวโน้มที่จะปรับลงอย่างต่อเนื่อง