หุ้นได้-เสีย บาทแข็งจ่อหลุด 31 เชียร์ไฟฟ้า เมินส่งออก’อิเล็กฯ-อาหาร’

HoonSmart.com>> 3 นักวิเคราะห์แนะเงินบาทแข็งค่ากว่า 4 ปี จ่อหลุด 31 บาท แนะซื้อกลุ่มที่มีหนี้ต่างประเทศสูง-นำเข้าสินค้ามาขาย เชียร์ไฟฟ้าได้กำไรอัตราแลกเปลี่ยน ชู GULF เด่น ส่วนมือถือ-ไอทีนำเข้าสินค้ามาขายได้มาร์จิ้นเพิ่ม  หลีกเลี่ยงส่งออก พุ่งเป้าอิเล็กทรอนิกส์-สินค้าเกษตร-อาหาร

นายเบญจพล สุทธิ์วนิช รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ช่วงสั้นเงินบาทมีโอกาสหลุดระดับ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเงินบาทแข็งในครั้งนี้ให้น้ำหนักไปที่ดุลการค้าครึ่งปีหลังมีการส่งออกมากกว่าการนำเข้า แต่ปี 2569 มองว่าเงินบาทยังมีโอกาสแข็งค่าอยู่แถว 30+/- บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แต่กรอบการแข็งจะไม่เร็วเท่าช่วงปลายปีนี้

“ปี2569 ยังยากที่จะบอกทิศทางเงินบาทที่ชัดเจน แต่คาดว่าเงินบาทยังแข็งค่าอยู่แถว 30 บาท บวก/ลบ เพราะระหว่างทางมีหนี้ต่างประเทศที่ถึงกำหนดชำระ จึงไม่น่าจะทำให้เงินบาทแข็งค่าไปมาก  ทั้งนี้เงินบาทแข็งทำให้นักลงทุนต่างชาติมีกำไรอัตราแลกเปลี่ยน ส่งผลให้เงินไหลเข้า แต่จะเข้ามามากแค่ไหน ต้องเทียบกับตลาดหุ้นบ้านเราจะน่าสนใจไหม เพราะหากได้กำไรอัตราแลกเลี่ยนแต่ขาดทุน Fundamental ก็ไม่คุ้ม ปีหน้าภาพเศรษฐกิจยังไม่ค่อยดี”นายเบญจพลกล่าว

ส่วนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่า เป็นกลุ่มที่ซื้อพลังงานมาใช้ในการผลิต คือ กลุ่มเครื่องดื่มที่ได้ประโยชน์แต่มีนัยยะน้อย และหุ้นกลุ่มที่มีหนี้ต่างประเทศสูง คือ กลุ่มโรงไฟฟ้าคงแนะนำ”ซื้อ”หุ้น GULF, BGRIM ส่วนกลุ่มส่งออก อย่างกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ให้หลีกเลี่ยงไปก่อนหวั่นผลกระทบบาทแข็ง

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ช่วงสั้นเงินบาทจะยังคงแข็งค่าอยู่ และมีโอกาสที่จะแข็งค่าไปจนถึงต้นปี 2569  มาจากหลายปัจจัย  ทั้งเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า, ราคาทองที่ยังขึ้นอยู่ และยังเป็นฤดูกาลที่ผู้ส่งออกนำเงินกลับมาแลกเป็นเงินบาท รวมถึงมีการแลกเงินไว้ใช้สำหรับเที่ยวไทย

อย่างไรก็ดี เงินบาทแข็งค่าทำให้ Fund Flow ไหลเข้า แต่ถ้าแข็งค่าเกินไปก็เป็นลบได้  หุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งจะเป็นกลุ่มที่มีหนี้ต่างประเทศสูง, มีการลงทุนต่างประเทศ ทำให้ภาระหนี้ลดลง หลัก ๆ จะเป็นกลุ่มโรงไฟฟ้า, ปิโตรเคมี, พลังงาน และกลุ่มนำเข้าก็จะได้ประโยชน์ด้วย เช่นกลุ่มมือถือ, ค้าปลีก, วัสดุก่อสร้าง แนะนำ”ซื้อ”หุ้น GULF, GPSC, TOA, TVO ส่วน BGRIM และ IVL แนะนำ”เทรดดิ้ง”ได้ประโยชน์เงินบาทแข็ง แต่ก็มีปัจจัยเฉพาะตัวที่ยังต้องติดตาม

สำหรับกลุ่มที่ได้รับกระทบจากเงินบาทแข็งค่า เป็นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์, อาหาร และท่องเที่ยว หลัก ๆ จะอยู่ที่กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ที่ได้รับผลกระทบจากบาทแข็งค่าแล้ว ต้นทุนโลหะยังปรับตัวขึ้นด้วย และ Valuation ก็แพงแล้ว โดยเฉพาะ DELTA ช่วงสั้นน่าจะหลีกเลี่ยงไปก่อน ส่วนอาหาร และท่องเที่ยว ยังสามารถเลือกลงทุนเป็นรายตัวได้ เพราะ Valuation ไม่แพง

“ตอนนี้ยังคิดว่าเงินบาทไม่น่าจะหลุด 30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะแม้ว่าจะหลุด 31 บาท ก็ยังมี Step ลำดับต่อไปเป็น 30.5-30.6 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ถัดไปก็ 30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ตามลำดับก่อน แต่มองว่าทิศทางยังแข็งค่าอยู่ ซึ่งปีนี้ค่าเฉลี่ยเงินบาทมองไว้ที่ 32.6 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ และปี 2569 ค่าเฉลี่ยเงินบาทจะอยู่ที่ 32.9 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ”นายอภิชาติกล่าว

ด้านบล.ลิเบอเรเตอร์ วิเคราะห์หุ้นกลุ่มไหน ได้/เสีย ประโยชน์ จากเงินบาทแข็งค่าในรอบ 4 ปี  ณ 26 ธ.ค. 2568 เคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 31.07 บาทต่อดอลลาร์ จากต้นปีแกว่งตัวอยู่ที่ประมาณ 34.30 – 34.50 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นแล้วประมาณ 9.4% ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่แข็งค่าที่สุดในภูมิภาคอาเซียน (เป็นรองเพียงริงกิตมาเลเซียเล็กน้อย) สถานการณ์ค่าเงินบาทในช่วงปลายปี 2568 ถือเป็นบททดสอบสำคัญของภาคธุรกิจไทย

กลุ่ม”ได้”ประโยชน์: ต้นทุนลด หนี้หาย กำไรพุ่ง คือกลุ่มที่ “จ่ายเป็นดอลลาร์ แต่มีรายได้เป็นบาท” หรือมีโครงสร้างหนี้เป็นสกุลเงินต่างประเทศ

1. กลุ่มโรงไฟฟ้าและพลังงาน (GULF, BGRIM, GPSC):บริษัทเหล่านี้มักกู้เงินสกุลดอลลาร์มาลงทุน หนี้จะลดลงมหาศาล เกิดกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX Gain) อย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ต้นทุนก๊าซธรรมชาติหรือเชื้อเพลิงนำเข้ามักอ้างอิงราคาดอลลาร์ ทำให้ค่าใช้จ่ายดำเนินงานลดลง

2. กลุ่มสายการบิน (AAV, BA):ค่าใช้จ่ายหลักถูกลง: ทั้งค่าเช่าเครื่องบิน และที่สำคัญที่สุดคือราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ที่อ้างอิงตลาดโลก เมื่อจ่ายเป็นดอลลาร์ในช่วงบาทแข็ง จะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมาก

3. กลุ่มวัสดุก่อสร้างและสินค้าไอที (SCC, SYNEX, SIS):ต้องนำเข้าวัตถุดิบหรือสินค้าสำเร็จรูปจากต่างประเทศมาขายในไทย จะได้มาร์จิ้นเพิ่มขึ้นจากการซื้อของได้ถูกลงในขณะที่ขายราคาเดิม

ส่วนกลุ่ม “เสีย” ประโยชน์: รายได้หด ความสามารถการแข่งขันลด คือกลุ่มที่ “หาเงินดอลลาร์ แต่จ่ายต้นทุนเป็นบาท”

1. กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (HANA, KCE, DELTA): รายได้เกือบ 100% เป็นดอลลาร์ เมื่อแลกกลับเป็นบาทจะได้เงินน้อยลงเกือบ 10% ตามการแข็งค่าของเงิน ส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิโดยตรง หากบาทแข็งกว่าคู่แข่งในภูมิภาค จะทำให้ราคาสินค้าไทยดูแพงขึ้นในสายตาคู่ค้า

2. กลุ่มเกษตรและอาหารส่งออก (TU, ASIAN, STA):สินค้าโภคภัณฑ์เกษตรมักมีมาร์จิ้นต่ำอยู่แล้ว การแข็งค่าของเงินบาทเพียง 2-3% ก็กระทบกำไรอย่างหนัก แต่ปีนี้แข็งค่าเกือบ 10% จึงเป็นความท้าทายที่หนักหน่วงมาก

“กลยุทธ์การปรับพอร์ต หากถือหุ้นส่งออกอยู่ อย่าเพิ่งตกใจ ให้ตรวจสอบว่าบริษัทนั้นมี “Natural Hedge” หรือไม่ (คือมีรายได้ดอลลาร์ แต่ก็มีรายจ่ายเป็นดอลลาร์ด้วย) ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบได้ระดับหนึ่ง ส่วนใครที่เล็งกลุ่มโรงไฟฟ้าไว้ ช่วงนี้อาจเป็นจังหวะที่ได้รับอานิสงส์จากกำไรอัตราแลกเปลี่ยนในงบการเงินไตรมาสสุดท้าย”บล.ลิเบอเรเตอร์แนะนำ