“ทีพีไอ โพลีน” เดินหน้าออกหุ้นกู้ มูลค่า 2,000 ล้านบาท พร้อมกรีนชูไม่เกิน 2,000 ล้านบาท อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.10% เรทติ้ง BBB+ แนวโน้มความน่าเชื่อถือ Stable แต่งตั้งธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จัดจำหน่ายหุ้นกู้ เจาะขายนักลงทุนสถาบัน-นักลงทุนรายใหญ่ เปิดขาย 7-10 ม.ค.62
น.ส.ดุษณี เกลียวปฏินนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า ธนาคาร ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการจำหน่ายหุ้นกู้ของบริษัท ทีพีไอ โพลีน หรือ TPIPL ผู้ผลิตและจำหน่ายปูนซีเมนต์รายใหญ่ของไทย โดยจะมีการเสนอขายหุ้นกู้ ระยะเวลา 3 ปี ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ มูลค่า 2,000 ล้านบาท (มีหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มไม่เกิน 2,000 ล้านบาท รวม 4,000 ล้านบาท) อัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ที่ 4.10% โดยหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับเครดิตเรทติ้ง BBB+ แนวโน้มความน่าเชื่อถือ “Stable” โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 17 ก.ย.2561 ที่ผ่านมา
สำหรับวัตถุประสงค์การออกหุ้นกู้ครั้งนี้เพื่อใช้ชำระหนี้หุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอน (Refinancing) ในเดือนม.ค.2562 จำนวน 3,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัทฯ โดยผู้ออกหุ้นกู้จะชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้ทุก ๆ 3 เดือนของแต่ละปีตลอดอายุหุ้นกู้ โดยเริ่มชำระดอกเบี้ยงวดแรกในวันที่ 11 เม.ย.2562
บริษัท ทีพีไอ โพลีน จะเสนอขายหุ้นกู้ให้แก่กลุ่มนักลงทุนสถาบัน จำนวนจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณขั้นละ 10,000 บาท และสำหรับนักลงทุนรายใหญ่ จำนวนจองขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท นอกจากนี้จะมีการแต่งตั้ง ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ และนายทะเบียนหุ้นกู้ โดยผู้ที่สนใจสามารถจองซื้อหุ้นกู้ได้ในวันที่ 7-10 ม.ค.2562 ที่ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา
สำหรับผลการดำเนินงาน บริษัท ทีพีไอ โพลีน ในไตรมาส 3/61 (ก.ค.-ก.ย.2561) มีรายได้รวม 9,567 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.84% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 7,725 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 477 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 264.82% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 290 ล้านบาท โดยเป็นกำไรที่เกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจปกติในไตรมาส 3/61 จำนวน 365 ล้านบาท และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนอีก 147 ล้านบาท
สอดคล้องกับผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กันยายน 2561) ที่มีรายได้รวม 27,109 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.64% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 23,647 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 772 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 248.10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุน 521 ล้านบาท โดยเป็นกำไรที่เกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจปกติ 9 เดือนแรกของปีนี้ 643 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายซีเมนต์ในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และระบบรางของภาครัฐ โครงการก่อสร้างของภาคเอกชน และรายได้จากธุรกิจการขายไฟฟ้าของบริษัทย่อยที่เพิ่มขึ้น