HoonSmart.com >>บล.กสิกรไทย ชี้ คปภ.ลด Risk Charge ถือเป็นการสร้างทางเลือกบริษัทประกันเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้น แต่เงินก้อนใหญ่ยังไม่ไหลเข้าตลาดทันที การตัดสินใจขึ้นอยู่กับความเสี่ยง คาด 3 กลุ่ม Defensive – Value Stock รับอานิสงส์
บล.กสิกรไทย วิเคราะห์มาตรการล่าสุดของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ที่ปรับลด Risk Charge สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย จาก 25% เหลือ 18% ว่า อาจสร้าง “room” ให้บริษัทประกันชีวิต ประกันภัย เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้น แต่อาจไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้เงินก้อนใหญ่ไหลเข้าตลาดทันที

เงินสดในมือบริษัทประกันสูง
ทั้งนี้ คปภ.กำหนด Capital Adequacy Ratio (CAR) ขั้นต่ำไว้ที่ 140% แต่บริษัทใหญ่ในตลาดหุ้น อย่าง บริษัทไทยประกันชีวิต และ กรุงเทพประกันชีวิต มีสัดส่วนสูงถึง 400–500% สะท้อนเงินทุนสำรองที่แข็งแกร่ง ทั้ง 2 บริษัทมองว่าการกันเงินทุนไว้ในระดับสูง เป็นจุดขายเพื่อสร้างความมั่นใจต่อลูกค้า
การลด Risk Charge เปิดช่องแต่ไม่บังคับ
บล.กสิกรไทย มองว่า มาตรการผ่อนคลายนี้ไม่ได้บังคับให้บริษัทประกันต้องลงทุนเพิ่มในหุ้นไทย แต่เป็นการเปิดโอกาสให้ Fund Manager ของแต่ละบริษัทตัดสินใจตามมุมมองต่อผลตอบแทนระหว่างหุ้นปันผลกับพันธบัตรรัฐบาล สหรัฐฯ และไทย ทั้งระยะ 10 ปีและ 2 ปี จะเป็นตัวกำหนดทิศทางการลงทุนของบริษัทประกัน โดยการปรับลดเกณฑ์ Risk Charge ถือเป็นการผ่อนคลายที่เปิดโอกาสให้บริษัทประกันสามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นได้มากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญทันที
หากเพดานการลงทุนในหุ้นถูกกำหนดไว้ที่ 10% บริษัทอาจเลือกลงทุนในหุ้นไทยเพียง 2% และกระจายไปสินทรัพย์อื่น แต่หากเพดานเพิ่มขึ้นเป็น 20% สัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยอาจขยับจาก 2% เป็น 3% ซึ่งเป็นการเพิ่มแบบค่อยเป็นค่อยไปตามสัดส่วน ไม่ใช่การกระโดดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ประกอบกับ ลักษณะการลงทุน หรือ คาแรคเตอร์ ของบริษัทประกันจะเน้นหุ้นที่มีความมั่นคงและปันผลสม่ำเสมอ จึงมีแนวโน้มว่าจะไม่เลือกลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงสูง เช่น กลุ่มเคมีภัณฑ์ ปิโตรเคมี อิเล็กทรอนิกส์ หรือถ่านหิน แต่จะมุ่งไปที่หุ้น Defensive และ Value Stock ที่ให้ผลตอบแทนมั่นคงมากกว่า โดยมองว่า 3 กลุ่มที่คาดว่ากลุ่มประกันจะลงทุนในลำดับแรกๆ ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร (ICT) กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่มธนาคาร ซึ่งมี Market Cap ใหญ่และสภาพคล่องสูง เหมาะกับการลงทุนของสถาบันที่ต้องการเข้า–ออกได้ง่าย
ความเสี่ยงและผลตอบแทน
การเปิด room ให้บริษัทประกันลงทุนในหุ้นได้เพิ่มขึ้น สามารถมองได้ทั้งเชิงบวก และมุมเสี่ยง เนื่องจากการย้ายจากพันธบัตรไปสู่หุ้น แม้จะเป็นหุ้นปันผล แต่ก็ยังมีลักษณะความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติของตลาดหุ้น ผลลัพธ์จึงขึ้นอยู่กับวิธีการลงทุนและผลตอบแทนที่บริษัทได้รับ
ปัจจุบัน สัดส่วนการลงทุนหุ้นในประเทศยังต่ำมาก โดย บริษัทไทยประกันชีวิต มีพอร์ตหุ้นรวมประมาณ 10% โดยอยู่ในไทย 3.5% และต่างประเทศ 6.5%
ส่วน บริษัทกรุงเทพประกันชีวิต มีพอร์ตหุ้นรวมราว 7% โดยอยู่ในไทยเพียง 0.5% และอีก 6.5% ลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนไปต่างประเทศของบริษัทประกันเกิดขึ้นต่อเนื่องในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา
ปันผลยังไม่เพิ่ม แม้เงินสดล้น
บล.กสิกรไทย มองว่า แม้บริษัทประกันมีเงินสดจำนวนมาก แต่ทั้ง 2 รายยังไม่มีนโยบายเพิ่ม Payout Ratio ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 25–30% เท่านั้น การปรับเพิ่มต้องได้รับอนุมัติจากคปภ. คล้ายกับที่ธนาคารต้องหารือ กับธนาคารแห่งประเทศไทย
