HoonSmart.com>>บริษัทผลิตไฟฟ้า เผย ปี ’69 เตรียมรับรู้รายได้ใหม่จากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 2 ประเทศ รวม 1,037 MW -โครงการร่วมทุนเก่าไหลเข้าเต็มปี-ขายโรงไฟฟ้าเก่า 2 แห่งวงเงินราว 1,000 ล้านบาท วางงบลงทุนใหม่ 9 หมื่นล้านบาทถึงปี’70 ลุยธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ 80% พลังงานหมุนเวียน 20% -ซื้อกิจการเพิ่ม 2 ดีลเสร็จไตรมาส 2 ตั้งเป้าสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเป็น 30% ภายในปี’73

นายธวัชชัย สำราญวานิช
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทผลิตไฟฟ้า (EGCO) เปิดเผยถึงปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของบริษัทปี 2569 มาจาก 4 ด้านหลัก ประกอบด้วย
1.การลงทุนใหม่ โดยวางงบลงทุนไว้ 30,000 ล้านบาท ทั้งในรูปของการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ และการซื้อกิจการ หรือ M& A ทั้งในและต่างประเทศ โดยจะต่อยอดและเน้นการลทุนในประเทศที่มีฐานธุรกิจและพันธมิตรอยู่แล้ว โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหนึ่งในฐานธุรกิจที่สำคัญของ EGCO Group ที่ได้เข้าไปลงทุนอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และในอินโดนีเซีย โดยขยายการลงทุนผ่าน CDI Group
ขณะที่ สัดส่วนงบลงทุน 80% จะเป็นธุรกิจไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติคุณภาพสูง และ 20% เป็นธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน เหตุที่ลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสัดส่วนสูงเพราะจะใช้เงินลงทุนสูงและยังผลิตไฟได้มากกว่า รายได้จะสูงกว่าแต่ต้นทุนก็สูงตามไปด้วย ขณะที่พลังงานหมุนเวียนมีรายได้ต่ำกว่า แต่ต้นทุนเชื้อเพลิงต่ำและมีความยั่งยืนมากกว่า
ในไทยมีโครงการลงทุนใน RE Biglot รอบ 2 จำนวน 11 โครงการ กำลังผลิต 448 เมกะวัตต์,ส่วนในสหรัฐอเมริกา ฯ จะมีการรับรู้รายได้เต็มปี จากการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นโรงไฟฟ้า Linden Cogen เป็น 38% การลงทุนในกลุ่มไฟฟ้า Pinnacle II กำลังผลิตรวม 251 เมกะวัตต์
คาดว่า โรงไฟฟ้าที่บริษัทถือหุ้นอยู่ในสหรัฐอเมริกา จะได้รับประโยชน์จากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เติบโตขึ้นจากความต้องการที่มากขึ้นของธุรกิจ Data Center
ในส่วนของ M&A คาดว่าจะเจรจาตกลงกันได้หรือปิดดีลภายในไตรมาส 2 ปี 2569 จำนวน 2 ดีล ในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ และพลังงานหมุนเวียน ในสหรัฐอเมริกา จะทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ยังมองหาโอกาสการลงทุนในตะวันออกกลางเพิ่มเติม และ ขยายธุรกิจใหม่อย่าง Data Center และเชื้อเพลิงแห่งอนาคต โดยบริษัทกำลังศึกษาโครงการ Data Center ในระยองที่เป็นโอกาสใหม่ โดยเน้นความมั่นคงด้านพลังงานเพื่อรองรับลูกค้าที่อยู่ในเขต EEC ที่ได้รับความสนใจจากหลายฝ่ายที่สอบถามเข้ามาเกี่ยวกับโมเดลการซื้อขายและการพัฒนา Data Center
บริษัทมองว่าธุรกิจนี้ยังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและกระทรวงที่เกี่ยวข้อง โดยบริษัทพิจารณาทั้งการเป็น Service Provider และการพัฒนาโรงไฟฟ้าเพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่มีความมั่นคงสูงของลูกค้า Data Center ซึ่งอาจทำได้ทั้งการรับไฟจากระบบโรงไฟฟ้า หรือการสร้างโรงไฟฟ้าใกล้พื้นที่เพื่อจ่ายไฟตรงให้ลูกค้า
2.ปี 2569 จะมีรายได้จาก 4 โครงการจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างขอ APEX ในสหรัฐอเมริการวม 637 เมกะวัตต์ โดย 559 เมกะวัตต์ จาก 3 โครงการ จะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2569 และอีก 78 เมกะวัตต์ จะเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 1 ปี 2569 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความสามารถในการผลิตยังมีตัวแปรเรื่องสภาพอากาศเข้ามาเกี่ยวข้อง และปัจจุบันบริษัทฯยังไม่มีการลงทุนในระบบกักเก็บพลังงาน ดังนั้นการรับรู้รายได้จะขึ้นอยู่กับสภาพการผลิตจริง
3.สัญญาใหม่จากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนเคซอน (Quezon) ในฟิลิปปินส์ จำนวน 400 เมกะวัตต์ จะมีการรับรู้รายได้เต็มปีในปี 2569 จากปี 2568 ที่มีการรับรู้รายได้เพียงไตรมาส 4 โดยที่ไตรมาส 2 และ 3 ของปีนี้ไม่มีรายได้เนื่องจากสัญญาเดิมครบอายุ โดยเคซอน ถือว่าเป็นโรงไฟฟ้าที่มีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) สูงสุด ขณะที่สหรัฐอเมริกา ค่าไฟมีราคาที่ถูกลง ทำให้ IRR ไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก แต่ที่สหรัฐฯยังได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน ที่มีการทยอยรับรู้ตามหน่วยการผลิตของโครการ APEX
4.รายได้จากธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ครอบคลุมธุรกิจเชื้อเพลิงและสาธารณูปโภค และธุรกิจ Customer Solution และStartup ผ่านบริษัทให้บริการครบวงจรด้านโครงสร้างพื้นฐาน หรือ CDI Group โดย EGCO ถือหุ้นในสัดส่วน 30% ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซียอย่างเป็นทางการเมื่อกลางปี 2568 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ จากกำลังการผลิตไฟฟ้า 6,836 เมกะวัตต์ ณ วันที่ 17 ธ.ค.2568 นั้น 40% จะอยู่ในประเทศไทย อีก 60% อยู่ใน 6 ประเทศ ทั้งในสหรัฐอเมริกา และเอเชีย บริษัทฯได้ทำการลดความเสี่ยงจากค่าเงิน ด้วยการทำ Hedging เพื่อให้ผลตอบแทนจากการลงทุนสอดคล้องกับความคุ้มค่าที่คาดหวัง
5.รายได้จากการขายทรัพย์สิน หรือ การทำ Asset Recycling โดยมีแผนที่จะขายออกจำนวน 2 แห่ง วงเงินรวมประมาณ 1,000 ล้านบาทภายใน 6 เดือนแรกของปี 2569 จะสามารถรับรู้รายได้ทันที แต่รายได้ประจำจากสินทรัพย์นั้นจะหายไปในปีต่อๆ ไป โดยจะมีการนำเงินไปต่อยอดลงทุนในโครงการที่มีโอกาสสูงกว่า กระบวนการนี้ถือเป็นกลยุทธ์ที่บริษัทใช้มาอย่างต่อเนื่อง โดยมี Investment Guideline ภายในที่ชัดเจนว่าธุรกิจใดควรถือครองต่อ และธุรกิจใดควรนำไปต่อยอดเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า
ทั้งหมดนี้ จะช่วยเสริมรายได้และกำไรจากธุรกิจในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
สำหรับปี 2569 EBITDA (กำไรก่อนหักภาษี-ค่าเสื่อม-ดอกเบี้ย) จะเป็นเท่าไหร่ นายธวัธชัย ขอไม่เปิดเผย แต่ปี 2568 ในงวด 9 เดือน EBITDA อยู่ที่ 10,333.09 ล้านบาท ก่อนหน้านี้บริษัททริสเรทติ้ง เคยประมาณการณ์ไว้ว่า EBITDA ของบริษัท EGCO ระหว่างปี 2568-2570 จะอยู่ที่ระดับ 1.4-1.6 หมื่นล้านบาทต่อปี
“ปัจจุบันโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การลงทุนทุกแห่งย่อมมีความเสี่ยง เพียงแต่แตกต่างกันในระดับความเสี่ยงและผลตอบแทน โดยความเสี่ยงสูงมักมาพร้อมผลตอบแทนสูง และความเสี่ยงต่ำมักให้ผลตอบแทนต่ำ บริษัทจึงพยายามสร้างสมดุลระหว่างสองด้านนี้”นายธวัชชัย กล่าว
นายธวัชชัย กล่าวว่า ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นข้อกังวลทั้งจากฝ่ายบริหารและคณะกรรมการบริษัท ดังนั้นก่อนการลงทุนในโครงการต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ บริษัทจึงให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ความเสี่ยงและการบริหารจัดการความเสี่ยงในทุกโครงการที่เข้าไปลงทุน
นอกจากนี้ รายได้และกำไรธุรกิจในไทย มีแนวโน้มลดลงตามสภาพเศรษฐกิจและสัญญาซื้อขายไฟฟ้าใหม่ ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตจากการลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้ ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้สูงขึ้น แม้ตัวเลขจากต่างประเทศจะทยอยเข้ามาช้ากว่าภายในประเทศ แต่ถือเป็นทิศทางสำคัญของการขยายธุรกิจในอนาคต
นายธวัชชัย กล่าวถึงการดำเนินธุรกิจท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสร้างความเติบโตขององค์กรอย่างยั่งยืนในทุกมิติ โดยแผนปี 2568-2570 เน้นมุ่งสร้างรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญต่อความยั่งยืน ซึ่งเป็นแนวโน้มสำคัญของการพัฒนาธุรกิจในอนาคต
การสร้างความยั่งยืน ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หากขาดการร่วมมือ ธุรกิจย่อมไม่สามารถยั่งยืนได้อย่างแท้จริง ดังนั้นบริษัทจึงตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ พร้อมกำหนดเป้าหมายทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ภายใต้กลยุทธ์ Power4 ประกอบด้วย
1. การสร้างรายได้และกำไรให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยรักษาเสถียรภาพทางการเงิน ดูแลอัตราส่วนหนี้สิน รักษาความน่าเชื่อถือจากการจัดอันดับเครดิต และให้ความสำคัญกับการจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้น
2.เน้นลงทุนในธุรกิจพลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก ปัจจุบันรายได้กว่า 90% มาจากธุรกิจไฟฟ้า บริษัทจึงยังคงเน้นการลงทุนในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน โดยใช้ทั้งการควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) เพื่อลดความเสี่ยง และการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ (Greenfield) เพื่อสร้างผลประโยชน์ระยะยาว รวมถึงการขยายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงแห่งอนาคต เช่น ไฮโดรเจนและแอมโมเนีย การลงทุนในระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ และการผลิตไฟฟ้าเพื่อรองรับความต้องการของศูนย์ข้อมูล (Data Center) ทั้งในไทยและต่างประเทศ
3. การบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ปัจจุบัน EGCO มีโรงไฟฟ้า 46 โรง และธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวข้องอีกกว่า 12 ธุรกิจ บริษัทจึงใช้กลยุทธ์ Synergy และ Asset Recycling เพื่อนำรายได้จากการขายสินทรัพย์ไปต่อยอดการลงทุนใหม่ เสริมสร้างความแข็งแกร่งขององค์กร
4. การพัฒนาองค์กรเชิงรุก (Proactive Organization) โดยปรับโครงสร้างธุรกิจให้สอดรับกับแนวทางความยั่งยืน และนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจ
สำหรับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม บริษัทตั้งเป้าเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำใน 3 ระยะ ได้แก่
ปี 2573 เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนจาก 22% เป็น 30% และลดการปล่อย CO2 อย่างน้อย 10% โดยมีแผนผสมไฮโดรเจนกับก๊าซธรรมชาติ ซึ่งในสหรัฐอเมริกาทำสำเร็จแล้ว และกำลังทดสอบการนำแอมโมเนียมาผสม
ขณะที่ไทย ปัจจุบันราคาไฮโดรเจนยังสูง การทดสอบไฮโดรเจนจึงเน้นในเชิงเทคโนโลยี ทั้งด้านการผลิต การจัดเก็บ และการขนส่ง เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่ามีความเป็นไปได้อย่างไร สุดท้ายแล้วการเข้าสู่การใช้จริงจะขึ้นอยู่กับต้นทุนและความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งบริษัทมองว่าจำเป็นต้องมีการร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญและจุดแข็งในด้านต่าง ๆ ไม่สามารถทำเพียงลำพังได้
การนำมาใช้งานในระยะเริ่มต้นยังมีข้อจำกัด แต่หากสามารถทำให้ราคาแข่งขันได้ โรงไฟฟ้าในประเทศไทยก็จะไม่ต้องเผชิญกับผลกระทบจากต้นทุนที่สูงเกินไป
รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ในโรงไฟฟ้าในไทยและต่างประเทศ ซึ่งบริษัทกำลังพิจารณาการลงทุน โดยมองเห็นโอกาสที่เปิดกว้างในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่มีความพร้อมและมีแนวโน้มเติบโตสูงในอนาคต
ปี 2583 มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ด้วยการลงทุนพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้น ใช้เชื้อเพลิงทางเลือก เช่น ไฮโดรเจน และแอมโมเนีย รวมถึงใช้ CCUS ในโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องอยู่ในปัจจุบัน ที่คาดว่าจะมีความชัดเจนและแข่งขันได้ในเชิงต้นทุน
ปี 2593 ตั้งเป้า Zero Emission โดยปรับพอร์ตโฟลิโอทั้งหมดให้เป็นพลังงานสะอาด 100% ร่วมกับการใช้เทคโนโลยี CCUS ในโรงไฟฟ้าทุกแห่ง และขยายไปยังทุกธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับไฮโดรเจนตลอดห่วงโซ่คุณค่า
นายธวัชชัย กล่าวว่า สำหรับผลประกอบการ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทมีรายได้ประมาณ 27,000 ล้านบาท โดยโครงการที่กลับมาเดินเครื่องช่วยเพิ่มรายได้ แต่โดยรวมจะไม่เพิ่มขึ้นมากนัก เนื่องจากโรงไฟฟ้าส่วนใหญ่เดินเครื่องตามชั่วโมงสัญญาแล้ว รายได้ในไตรมาส 4 จึงค่อนข้างจำกัด ยกเว้นบางโรงไฟฟ้าที่สามารถขายไฟฟ้าเกินสัญญาได้บ้าง
