HoonSmart.com>>ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 10 ธ.ค. 2568 ปิดที่ 48,057.75 จุด เพิ่มขึ้น 497.46 จุด หรือ +1.05% หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการตัดสินใจด้านนโยบายครั้งสุดท้ายของปี ขณะที่ประธานเจอโรม พาวเวลล์ แสดงความมั่นใจเกี่ยวกับแนวโน้มของอัตราเงินเฟ้อและการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเป็นไปได้ที่จะปรับลดอีก 2 ครั้งในปีหน้า
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,886.68 จุด เพิ่มขึ้น 46.17 จุด, +0.67%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 23,654.16 จุด เพิ่มขึ้น 77.67 จุด, +0.33%
คณะกรรมการ FOMC ของเฟดมีมติ 9 ต่อ 3 ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลง 0.25% ซึ่งเป็นการปรับลดครั้งที่ 3 ในปีนี้ส่งให้อัตราดอกเบี้ยลงมาที่ 3.50%-3.75% แต่ธนาคารกลางส่งสัญญาณว่าการผ่อนคลายนโยบายการเงินในอนาคตจะชะลอตัวลง โดยคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot)จะลดอัตราดอกเบี้ย 1 ครั้งในปี 2026
เครื่องมือ Fedwatch ของ CME บ่งชี้ว่ามีความเป็นไปได้มากกว่า 77% ที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีหน้า
ผลการตัดสินใจสะท้อนความเห็นต่างในเจ้าหน้าที่เฟด โดย เจฟฟ์ ชมิด ประธานเฟดสาขาแคนซัสซิตี้ และออสตัน กูลส์บี ประธานเฟดสาขาชิคาโก ไม่เห็นด้วยกับการลดดอกเบี้ย โดยต้องการคงอัตราดอกเบี้ย ขณะที่สตีเฟน มิแรน ผู้ว่าการเฟด ผลักดันให้ลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50%
ในการแถลงข่าวหลังการตัดสินใจ ประธานเฟดยอมรับถึงความตึงเครียดในภารกิจสองด้านของธนาคารกลาง แต่กล่าวว่ามาตรการภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เงินเฟ้อของเฟดสูงเกินเป้าหมายนั้น น่าจะเป็นเพียงการเพิ่มขึ้นของราคาครั้งเดียว และยังระบุถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงการเติบโตที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้วย
อย่างไรก็ตามมีหลายประเด็นจากการประชุมที่ตลาดมองว่าเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับตลาดหุ้น จากถ้อยแถลงของเฟด รวมถึงคำกล่าวของประธานเจอโรม พาวเวลล์ ในการแถลงข่าว โดยเฉพาะ การที่เฟดประกาศว่าจะเริ่มซื้อพันธบัตรระยะสั้น ซึ่งเป็นการขยายงบดุล ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นของรัฐบาลลดลง อีกทั้งเฟดยังให้ความสนใจกับตลาดแรงงานที่อ่อนแอในแถลงการณ์ โดยตัดถ้อยคำที่ระบุว่ายังคงอยู่ในระดับต่ำ ออกไป ซึ่งบ่งชี้ว่าเฟดกำลังหันไปให้ความสำคัญกับการสนับสนุนเศรษฐกิจมากกว่าการควบคุมเงินเฟ้อ
แม้ว่าพาวเวลล์จะกล่าวว่าเฟดจะต้องรอดูสถานการณ์ก่อนที่จะดำเนินการต่อไป แต่เขาก็แทบจะตัดโอกาสที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งต่อไปออกไป “ผมไม่คิดว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ย…จะเป็นกรณีฐานของใครในตอนนี้” พาวเวลล์กล่าว
หุ้นธนาคารระดับภูมิภาคปรับตัวขึ้น โดยกองทุน State Street SPDR S&P Regional Banking ETF เพิ่มขึ้นกว่า 2% หุ้นธนาคารระดับภูมิภาคขนาดใหญ่ที่สุดหลายแห่งก็ปรับตัวขึ้นไปที่ระดับสูงสุดในรอบการซื้อขายเช่นกัน ทั้ง Truist Financial, M&T Bank, Huntington Bancshares และ Citizens Financial
ดัชนี Russell 2000 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มบริษัทเล็กเพิ่มขึ้น 1.3% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนใช้ความระมัดระวังก่อนการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ขณะเดียวกันก็พิจารณาประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
ตลาดจับตาการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของเฟด ในช่วงบ่าย ซึ่งแม้คาดไว้ว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% แต่ก็รอการแถลงของประธานเจโรม พาวเวลล์ เพื่อหาสัญญานการดำเนินนโยบายการเงินในปีหน้า ท่ามกลางข้อมูลเศรษฐกิจที่มีน้อยและการผลักดันของรัฐบาลสหรัฐฯ ให้ลดอัตราดอกเบี้ยลง
ขณะเดียวกัน คริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ชี้ว่า ECB อาจปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจในสัปดาห์หน้า เนื่องจากเศรษฐกิจยูโรโซนมีความแข็งแกร่ง
ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 578.17 จุด เพิ่มขึ้น 0.40 จุด, +0.07%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,655.53 จุด เพิ่มขึ้น 13.52 จุด, +0.14%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,022.69 จุด ลดลง 29.82 จุด, -0.37%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,130.14 จุด ลดลง 32.51 จุด,-0.13%
ดัชนีกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ลดลง 1.5% โดยได้รับผลกระทบจากการลดลง 4.8% ของหุ้น Ferrari ผู้ผลิตรถยนต์หรู Morgan Stanley เริ่มต้นการวิเคราะห์หุ้นนี้ด้วยคำแนะนำการลงทุนequal weight ขณะที่ Jefferies ลดราคาเป้าหมายของหุ้นลง
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ช่วยหนุนตลาดในช่วงที่ผ่านมาลดลง 0.35% โดยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันประเทศเป็นตัวฉุด ดัชนีอุตสาหกรรมการบินและอวกาศและการป้องกันประเทศของยุโรปลดลง 0.8% หลังจากที่เพิ่มขึ้นกว่า 2% ในสองวันก่อนหน้า
หุ้น Vinci ลดลง 3.1% หลังจาก BNP Paribas ปรับลดคำแนะนำลงทุนกลุ่มบริษัทโครงสร้างพื้นฐานและสัมปทานของฝรั่งเศสจาก outperform เป็น neutral โดยโบรกเกอร์คาดการณ์ว่าปี 2026 จะไม่ค่อยคึกคักสำหรับบริษัทขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานของยุโรป
ดัชนีกลุ่มก่อสร้างและวัสดุลดลง 0.8%
หุ้น Aegon เป็นหุ้นที่ลดลงมากที่สุด โดยร่วงลงกว่า 10% หลังจากที่บริษัทประกันภัยแห่งนี้ประกาศว่าจะย้ายที่ตั้งทางกฎหมายและสำนักงานใหญ่จากเนเธอร์แลนด์ไปยังสหรัฐอเมริกา
หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์เพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยบริษัทน้ำมันและเหมืองแร่เพิ่มขึ้น 0.2% และ 0.75% ตามลำดับ
หุ้นกลุ่มธนาคารก็ช่วยหนุนตลาดเช่นกัน โดยเพิ่มขึ้น 0.7% จาก HSBC ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ เพิ่มขึ้น 3.2% หลัง BofA Securities ปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น ซื้อ จาก neutral โดยชี้ไปที่โอกาสการเติบโตของเงินฝากในฮ่องกงและการบริหารความมั่งคั่งในเอเชีย
หุ้น Delivery Hero พุ่งขึ้น 13.7% หลังจากที่บริษัทกล่าวในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นเมื่อวันอังคารว่ากำลังทบทวนการจัดสรรเงินทุนและประเมินทางเลือกเชิงกลยุทธ์
หุ้นบริษัทพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นต่อจากวันอังคาร โดย Nordex เพิ่มขึ้น 8%, Siemens Energy เพิ่มขึ้น 4.3% และ Vestas Wind Systems เพิ่มขึ้น 4.2% ขณะที่ GE Vernova บริษัทคู่แข่งจากสหรัฐฯ คาดการณ์รายได้ในปี 2026 ที่สูงขึ้นและมีแผนการซื้อหุ้นคืน
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบม.ค. เพิ่มขึ้น 21 เซนต์ หรือ 0.36% ปิดที่ 58.46 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 27 เซนต์ หรือ 0.44% ปิดที่ 62.21 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
———————————————————————————————————————————————————–

