เงินเฟ้อพ.ย.ติดลบ 8 เดือน คาดปี 69 พลิกโต 0.0-1.0% กสิกรฯมอง 0.4% 

HoonSmart.com>>เงินเฟ้อเดือนพ.ย.ติดลบต่อเนื่องเดือนที่ 8 แต่ดีกว่าตลาดคาด รวมทั้งปี -0.15 ถึง -0.2% ติดลบในรอบ 5 ปี  ส่วนปี 69 คาดพลิกกลับมาโต 0.0-1.0% ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองบวกที่ 0.4%  

นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป เดือนพ.ย. 2568 เท่ากับ 100.15 ลดลง 0.49%YoY (จากที่ตลาดคาด -0.6% ถึง -0.7%) โดยเป็นการติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 ส่งผลให้เงินเฟ้อในช่วง 11 เดือน (ม.ค.-พ.ย. 2568) ลดลง 0.12%

ทั้งนี้ เงินเฟ้อเดือนพ.ย.ลดลงในอัตราที่ชะลอตัว (ต.ค.2568 ลดลง 0.76%) สาเหตุสำคัญที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังคงลดลง มาจากราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน ได้แก่ ค่ากระแสไฟฟ้าครัวเรือน และน้ำมันเชื้อเพลิง ลงตามสถานการณ์พลังงานในตลาดโลก และมาตรการลดภาระค่าครองชีพของภาครัฐ ขณะที่สินค้าในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ปรับตัวสูงขึ้นหลังจากลดลงต่อเนื่องมา 3 เดือน จากการสูงขึ้นของราคาผักสด อาหารสำเร็จรูป และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สำหรับราคาสินค้าและบริการอื่น ๆ ส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อไม่มากนัก

ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) เดือนพ.ย.อยู่ที่ 101.64 หรือเพิ่มขึ้น 0.66% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ทำให้เฉลี่ย 11 เดือน  (ม.ค.-พ.ย. 2568) เพิ่มขึ้น 0.86%

สำหรับราคาสินค้าและบริการในเดือนพ.ย.เทียบกับเดือนก.ย. ที่ผ่านมา พบว่า สินค้าและบริการ ที่ราคาเพิ่มขึ้นมี 223 รายการ อาทิ ปลาทู ผักชี ผักบุ้ง กะทิสำเร็จรูป กาแฟผงสำเร็จรูป กาแฟ กับข้าวสำเร็จรูป ข้าวราดแกง ค่าเช่าบ้าน ค่าบริการขนขยะ และค่าแต่งผมชาย เป็นต้น ส่วนสินค้าและบริการที่ราคาลดลงมี 191 รายการ อาทิ ข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว เนื้อสุกร ไข่ไก่ ต้นหอม กระเทียม ขิง มะม่วง น้ำดื่มบริสุทธิ์ อาหารเดลิเวอรี่ ค่ากระแสไฟฟ้า น้ำยาระงับกลิ่นกาย รถยนต์ และน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น ขณะที่สินค้าและบริการที่ราคาไม่เปลี่ยนแปลงมี 50 รายการ

นายนันทพงษ์ ประเมินว่า เงินเฟ้อทั้งปี 2568 จะอยู่ที่ -0.15% ถึง -0.20% โดยเป็นการติดลบในรอบ 5 ปี (ตั้งแต่ปี 2563 ที่ -0.85%) ปัจจัยหลักจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และมาตรการภาครัฐช่วยค่าครองชีพ คาดว่าเดือนธ.ค.จะอยู่ที่ -0.48% ถึง -1.08% สำหรับโครงการคนละครึ่งพลัส กระตุ้นความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนต.ค.-พ.ย. หากมีมาตรการต่าง ๆ ทั้งคนละครึ่งพลัส และมาตรการลดดอกเบี้ยครัวเรือนต่าง ๆ ในระยะยาวมากขึ้น ทั้งหมดจะเป็นส่วนช่วยครัวเรือนด้านอุปสงค์ และจะช่วยให้เงินเฟ้อขึ้นมา

“เมื่อปี 2563 ในช่วงโควิด เงินเฟ้อเคยติดลบ 10 เดือนต่อกันที่ -0.85% และในปี 2558 เคยติดลบ 12 เดือนติดต่อกันที่ -0.90% จากปัจจัยราคาน้ำมันโลกที่ลดลงอย่างมาก ปัจจัยของภาครัฐที่ช่วยเรื่องค่าครองชีพ โดยเฉพาะเรื่องค่ากระแสไฟฟ้า แต่เงินเฟ้อพื้นฐานยังเป็นบวกอยู่ จากอุปสงค์ในเรื่องของสินค้าพื้นฐานที่ตัดปัจจัยภายนอกออก”

สำหรับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ คาดอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.01-0.05% แต่สินค้าที่กังวล คือผักสด ที่คาดว่าราคาจะสูงขึ้นประมาณ 15-20% เป็นระยะเวลา 1 เดือน (ข้อมูลปี 2553) ซึ่งเป็นผลกระทบระยะสั้น  อาจมีความเสี่ยงของการขึ้นราคาอาหารจานเดียวประมาณ 10-20% ซึ่งจะเป็นผลกระทบระยะยาว เพราะหากราคาขึ้นแล้วจะไม่มีการปรับลดลง นอกจากนี้ ค่าแรงและค่าบริการซ่อมแซม มีโอกาสปรับราคาสูงขึ้นมาก ส่วนผลกระทบต่อการส่งออก ปกติทำสัญญาประมาณ 2 เดือนก่อนหน้า  คาดว่าเดือนม.ค.2569 น่าจะเห็นผลลแต่ไม่มาก

กระทรวงพาณิชย์ คาดการณ์แนวโน้มเงินเฟ้อปี 2569 (ณ เดือน ธ.ค. 2568) อยู่ระหว่าง 0.0-1.0% (ค่ากลางอยู่ที่ 0.5%) โดยประเมินบนพื้นฐานอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 1.2-2.2% น้ำมันดิบดูไบทั้งปี  60-70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และค่าเงินบาทอยู่ที่  32.0-33.0 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ  ส่วนเงินเฟ้อในไตรมาส 1/69 มองแนวโน้มเป็นบวก ถึงแม้ว่าราคาพลังงานยังติดลบอยู่ แต่ราคาสินค้าเกษตรกระเตื้องมากขึ้น จึงอาจเป็นส่วนหนึ่งที่อาจทำให้เงินเฟ้อไตรมาสแรกเป็นบวกได้”

ทางด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินเฟ้อเดือนพ.ย. 2568 ติดลบเป็นเดือนที่ 8 ที่ -0.49%YoY ปี 2569  โดยฝั่งอุปทานยังเป็นปัจจัยกดดันหลัก ขณะที่ฝั่งอุปสงค์เข้ามาช่วยหนุนเล็กน้อย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงประมาณการอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ -0.1% ในปี 2568 โดยในช่วง 11 เดือนแรกเงินเฟ้อติดลบอยู่ที่ -0.12%YoY และแนวโน้มเดือนสุดท้ายของปีคาดว่าจะยังติดลบต่อเนื่องแต่ในอัตราที่ลดลง ส่วนหนึ่งจากฐานราคาผักและผลไม้ที่อยู่ในระดับต่ำ

สำหรับปี 2569 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะกลับมาเป็นบวกที่ 0.4% โดยปัจจัยกดดันด้านต่ำในฝั่งอุปทานคาดว่าจะมีลดลงจากราคาผักและผลไม้มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อน ขณะที่ราคาพลังงานยังมีแนวโน้มปรับลดลงแต่ในสัดส่วนที่น้อยกว่าปีก่อนหน้า

 
 
 
 
 
———————————————————————————————————————————————————–