“สรวิศ” รองผู้จัดการ ตลท. มือ IB กับโจทย์ใหญ่” SETแข่งขันได้-IPO คึกคัก”

HoonSmart.com>>“สรวิศ ไกรฤกษ์”รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดใจถึงโจทย์ใหญ่ “การทำให้ตลาดทุนไทยกลับมาแข่งขันได้ในระดับภูมิภาค – วางหมากใหม่ให้ IPO ไทยกลับมาคึกคัก ผ่าน Action Plan ที่จับต้องได้ ผ่านสภาพคล่องที่สูงขึ้น จำนวนหุ้นเข้าใหม่ คุณภาพบจ.โดดเด่น


นายสรวิศ ไกรฤกษ์ รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์และ สายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดใจในงานพบสื่ออย่างเป็นทางการครั้งแรก “Meet the Press” ว่า โจทย์ใหญ่ที่กำลังเผชิญ คือ การทำให้ตลาดทุนไทยกลับมามีชีวิตชีวาและแข่งขันได้ในระดับภูมิภาค

Action Plan กำลังถูกจัดทำขึ้น เพื่อพลิกเกม IPO ครอบคลุมทั้งการเร่งกระบวนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ การเพิ่มสภาพคล่อง และการสร้างมูลค่าให้กับบริษัทจดทะเบียน ผ่านโครงการ JUMP+ และความร่วมมือ BOI to IPO โดยคาดว่าปี 2569 จะมีบริษัทใหญ่เข้ามาในตลาดอย่างน้อย 1–2 ราย ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าตลาด IPO ไทยกำลังเข้าสู่ “ขาขึ้น” อีกครั้ง

ทั้งนี้ จะอาศัยความรู้และประสบการณ์ ที่มีอยู่ทั้งด้านเศรษฐศาสตร์ และการเงิน เคยทำงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ก่อนออกไปทำงานไฟแนนซ์กับเลห์แมน บราเธอร์ส ด้านวาณิชธนกิจ (IB) เคยทำงานกับ บล.บัวหลวง สาย IB ที่เน้นงานด้าน IPO และการควบรวมกิจการ (M & A) ปี 2545-2568 และในช่วงนั้นเคยถูกธนาคารกรุงเทพ ขอยืมตัวไปช่วยงานด้านสินเชื่อต่างประเทศอยู่ 3 ปี ก่อนที่จะมาร่วมงานกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันที่ 1 ส.ค.2568 ที่ผ่านมา เพื่อดูแลสายงานผู้ออกหลักทรัพย์,บริษัทจดทะเบียน และบริษัทที่จะเข้ามาจดทะเบียน ซึ่งปี 2569 จะดูแลสายงานกาตลาดเพิ่มอีก 1 สายงาน

นายสรวิศ กล่าวว่า บทบาทตอนนี้คือการเชื่อมโยงผู้ประกอบการกับบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน กับฝั่งผู้กำกับดูแลให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันและหาจุดสมดุลที่ทำให้ตลาดทุนไทยมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น

แม้ว่าประเทศไทยจะมีตลาดทุนหลายกระดาน แต่ภูมิภาคนี้ไม่ได้มีเฉพาะตลาดหุ้นไทย นักลงทุนและบริษัทมีหลายตลาดหุ้นให้เลือกไปซื้อขาย และเลือกเข้าจดทะเบียน

ตลท.ไม่มีอำนาจในการห้ามบริษัทไปจดทะเบียน หรือห้ามนักลงทุนไปลงทุนที่อื่น สิ่งที่ ตลท.ทำได้คือ การเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขัน ให้แข่งกับตลาดอื่นๆ ได้ ทำให้ตลาดทุนไทยมีความน่าสนใจและดึงดูดมากขึ้น

ในภาพใหญ่ ตลท.มุ่งเน้นว่าจะทำอย่างไรให้ตลาดมีความเคลื่อนไหวเชิงรุกมากขึ้น ทั้งในด้านการซื้อขายหุ้นและการนำบริษัทใหม่เข้าจดทะเบียน (IPO) ซึ่งกำลังเตรียม Action Plan ครอบคลุมทั้งสองด้าน โดยรายละเอียดจะมีการนำเสนอในช่วงต้นเดือนมกราคม 2569

ตลาดหลักทรัพย์ยอมรับว่า จำนวนบริษัทและมูลค่า IPO ลดลงอย่างต่อเนื่องหลายปี ปี 2568 มีมูลค่าระดมทุนเพียงราว 12,000 ล้านบาท จากประมาณ 17 บริษัท ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในรอบหลายปี แม้บอกไม่ได้ว่าจะเป็นระดับต่ำสุดในประวัติศาสตร์หรือเปล่า แต่ก็สะท้อนเทรนด์ที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่หลังปี 2561

แต่ปี 2569 คาดว่าจำนวนหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมากกว่าปี 2568  โดยมีแนวโน้มบริษัทขนาดใหญ่เข้ามาอย่างน้อย 1–2 ราย ปัจจุบันมี 1 บริษัทที่ยื่นไฟลิ่งแล้ว และอีก 1 บริษัทคาดว่าจะยื่นในปีหน้า พร้อมคาดหวังว่าตลาด IPO จะอยู่ในช่วงขาขึ้น

หากย้อนกลับไปช่วงปี 2558–2561 มูลค่าการเสนอขาย IPO ต่อปี เคยแตะระดับเกือบ 1 แสนล้านบาท เพราะช่วงนั้นมีบริษัทขนาดใหญ่เข้ามาจดทะเบียนด้วย มาร์เก็ตแคประดับแสนล้านบาท แต่หลังวิกฤตการณ์โควิดเริ่มลดลงชัดเจน เหลือ 40,000 ล้านบาท และปีนี้ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท ปัจจัยสำคัญคือภาวะตลาดโดยรวม หากดัชนีอยู่ในระดับสูงและมีปริมาณการซื้อขายคึกคัก บริษัทก็มีแรงจูงใจที่จะระดมทุน เพราะสามารถตั้งราคาที่สะท้อนศักยภาพธุรกิจได้ แต่เมื่อภาวะตลาดซบเซา IPO ก็ชะลอตัวตามไปด้วย

แต่ในช่วง 2 ปีหลัง ภาวะเศรษฐกิจและตลาดโดยรวมที่ไม่คึกคักได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อจำนวนและมูลค่า IPO หลายบริษัทที่เดิมมีแผนเข้าตลาดต้องชะลอออกไป เพราะสมมติฐานที่ตั้งไว้เมื่อ 3–4 ปีก่อน เช่น ระดับดัชนีและปริมาณซื้อขาย ไม่สอดคล้องกับสภาพตลาดปัจจุบัน ทำให้บางรายที่ยื่นไฟลิ่งแล้วเลือกไม่ขาย

ขณะที่บางบริษัทยังไม่ทันยื่นไฟลิ่งก็ต้องพับแผนไปเลย เหตุผลหลักคือเม็ดเงินที่คาดว่าจะได้ไม่อยู่ในระดับที่เคยหวังไว้ จึงสะท้อนชัดว่า IPO ผูกติดกับภาวะตลาดโดยตรง เพราะหมายถึงราคาที่จะได้ มูลค่าการระดมทุน และนี่คือปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้จำนวน IPO ลดลงต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตลาดไม่เอื้ออำนวย ซึ่งทำให้หลายบริษัทตัดสินใจชะลอการเข้าตลาดหลักทรัพย์

“ดังนั้นโจทย์ใหญ่คือการสร้างความเชื่อมั่นและทำให้ตลาดทุนไทยกลับมาน่าสนใจ ทั้งสำหรับนักลงทุนและบริษัทที่ต้องการระดมทุน เพื่อให้ตลาดไทยยังคงเป็นตัวเลือกที่แข่งขันได้ในระดับภูมิภาค”นายสรวิศ กล่าว

นายสรวิศ ขยายความคำว่า”แข่งขันได้กับตลาดทุน”อื่นๆ ว่า มีอยู่ 3 ด้าน คือ

1. ความเร็วด้านกระบวนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียน (IPO) ต้องเร็ว ทำให้บริษัทสามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเสร็จสิ้นเมื่อใดและสามารถซื้อขายได้เมื่อใด จากปัจจุบันถูกมองว่ามีความล่าช้า การ IPO ในไทยที่ใช้เวลานานเป็นต้นทุนที่ทำให้บริษัทต้องเสียเวลา

ขณะนี้มีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ( ก.ล.ต.) เพื่อปรับปรุงให้กระบวนการเร็วขึ้น

2. การเพิ่มสภาพคล่องการซื้อขาย หากบริษัทไทยมีสินค้าหรือบริการที่ไม่เป็นที่รู้จักในต่างประเทศมากนัก อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติลังเลที่จะเข้ามาซื้อขายหุ้น มีข้อสังเกตว่านักลงทุนต่างประเทศหลายรายไม่ค่อยรู้จักบริษัทไทยที่จดทะเบียน หรือไม่เห็นพัฒนาการใหม่ ๆ ของบริษัทเหล่านั้น ดังนั้นการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันจึงรวมถึงการสร้างแนวทางที่จะทำให้มีการซื้อขายหุ้นมากขึ้นและเพิ่มสภาพคล่องในตลาด

“ปัจจัยเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะบริษัทมีทางเลือกว่าจะ IPO ตลาดไหนในภูมิภาคนี้ พวกเขาจะเปรียบเทียบว่าตลาดใดให้มูลค่าสูงกว่า มีสภาพคล่องมากกว่า และมีกระบวนการที่รวดเร็วและง่ายกว่า”นายสรวิศ กล่าว

นายสรวิศ กล่าวถึงการเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันด้านที่ 3. การพัฒนาและสร้างมูลค่าของบริษัทจดทะเบียน ที่ตลาดทุนไทยได้ริเริ่มโครงการ JUMP + ที่มีบริษัทเข้าร่วมโครงการแล้ว 90 บริษัท ซึ่งได้ขยายให้ยื่นเข้าโครงการถึงมี.ค. 2569 จากเดิมถึงสิ้นปี 2568 เพื่อให้มีเวลาในการนำเสนอบอร์ดในช่วงปลายปีและไตรมาสแรก สร้างความน่าสนใจทั้งในด้านอุปทานและอุปสงค์

วัตถุประสงค์หลักของโครงการนี้คือการกระตุ้นให้บริษัทจดทะเบียนกลับไปคิดถึงแผนการเติบโตในระยะกลางและระยะยาวรวมถึงการลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ หรือธุรกิจเชิงนวัตกรรม เพื่อเพิ่มผลตอบแทนต่อสินทรัพย์และผู้ถือหุ้น

แผนการเติบโตหลักในระยะยาว และ เพิ่มอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) ให้สูงขึ้น อย่างที่ประเทศอื่นทำแล้วได้ผล เช่น เกาหลีและญี่ปุ่น และต่อมาสิงคโปร์ก็เริ่มดำเนินการตาม ซึ่งเป็นที่รู้จักในต่างประเทศในชื่อ Corporate Value-up Program

ด้านการสนับสนุนกลุ่มธุรกิจใหม่และกลุ่มเศรษฐกิจใหม่เข้าจดทะเบียนในไทย เน้นกลุ่ม New Economy เพื่อเพิ่มหุ้นกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ โดยเฉพาะการผลักดันและดึงดูดบริษัทที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากบีโอไอ ภายใต้ความร่วมมือ BOI to IPO ในพื้นที่ EEC ให้เข้ามาจดทะเบียน เพื่อเพิ่มสีสันและความน่าสนใจให้กับตลาด อย่างไรก็ตาม โครงการเหล่านี้ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 ปีในการเห็นผล เนื่องจากกระบวนการ IPO ต้องใช้เวลา

ส่วนที่เริ่มได้เลย คือการสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียน ขอสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการลงทุนในธุรกิจใหม่ ที่เข้าเกณฑ์ของบีโอไอ หรือจะเรียกว่า SET to BOI จะทำให้สามารถขยายธุรกิจได้เร็วขึ้น

“การทำแบบนี้จะทำให้ตลาดทุนไทยมีซัพพลายที่น่าสนใจมากขึ้น นักลงทุนต่างชาติที่เคยมองข้ามกลับมาสนใจสนใจมากขึ้น เนื่องจากบริษัทที่เข้าโครงการจะมีการพัฒนาการและมีแผนธุรกิจใหม่ ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขาอาจไม่ค่อยเห็น”นายสรวิศ กล่าว

นายสรวิศ วิเคราะห์เจาะลึกกันถึงเรื่องที่ฝั่งนักลงทุนมีการพูดกันถึงหุ้น IPO ต่ำกว่าราคาจอง และพอเข้ามาแล้วราคาลดลงต่อเนื่อง
โดยยอมรับว่า หุ้นที่ปรับลดลงต่อเนื่องก็สร้างแรงกดดันให้กับตลาดทุนเช่นกัน ปี 2568 มี IPO ทั้งหมด 17 บริษัท โดยครึ่งปีแรกมีเพียง 5 บริษัท ซึ่งเป็นหุ้นขนาดเล็กทั้งหมด มูลค่าระดมทุนเฉลี่ยต่อรายไม่สูงมาก สะท้อนว่า ‘หน้าต่าง IPO’ ยังไม่เปิดสำหรับหุ้นกลางและใหญ่

ตลาดเริ่มคึกคักขึ้นจริงในครึ่งปีหลัง โดยตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นมา IPO เข้าจดทะเบียนเพิ่มอีก 12 บริษัท คิดเป็นกว่า 90% ของมูลค่าระดมทุนทั้งปี ในจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ SET และอีกครึ่งหนึ่งเข้าตลาด mai

หากดูราคาหุ้นเปรียบเทียบกับที่เสนอขาย พบว่าในวันแรกที่เปิดซื้อขาย ส่วนใหญ่ราคายังสูงกว่าราคาจอง แต่เมื่อดูราคาปิดวันแรก ภาพรวมแบ่งครึ่ง-ครึ่งหนึ่งต่ำกว่าราคาจอง อีกครึ่งหนึ่งยังสูงกว่า ขณะที่หากเปรียบเทียบราคาปัจจุบันกับราคาจอง บางตัวลดลง 40%–50% สะท้อนความผันผวนและความท้าทายของ IPO ในปีนี้อย่างชัดเจน

หากดูผลการซื้อขาย IPO ในปี 2568  จะเห็นว่าในวันแรกส่วนใหญ่ราคายังเปิดเหนือกว่าราคาจอง แต่เมื่อปิดตลาดวันแรกกลับเหลือเพียงครึ่งหนึ่งที่ยังสูงกว่าจอง อีกครึ่งหนึ่งต่ำกว่าจอง ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับอดีต

หากเปรียบเทียบราคาปัจจุบันกับราคาจองของ IPO ที่เข้าตลาดตั้งแต่กลางปี พบว่าในจำนวน 12 บริษัท มี 8 บริษัทที่ราคาต่ำกว่าจอง และ 4 บริษัทที่ราคายังสูงกว่าจอง อย่างไรก็ตาม หากถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าการเสนอขาย จะเห็นภาพต่างออกไป โดยกว่า 60% ของมูลค่าระดมทุนยังอยู่เหนือราคาจอง ขณะที่ 40% ต่ำกว่าจอง

สิ่งนี้สะท้อนว่า แม้จำนวนบริษัทส่วนใหญ่ราคาต่ำกว่าจอง แต่เม็ดเงินลงทุนจริงกลับกระจุกอยู่ในหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งยังสามารถรักษาระดับราคาสูงกว่าจองได้ เช่น หุ้นไซส์ M, L และ XL ที่มีมูลค่าการเสนอขายสูงกว่า IPO ขนาดเล็กรวมกันทั้งหมด

ดังนั้น หากนับตามจำนวนรายหัว IPO จะเห็นว่า 2 ใน 3 ของ IPO ต่ำกว่าจอง แต่หากนับตามมูลค่า ระดับราคายังอยู่เหนือจองมากกว่า 60% ซึ่งสะท้อนความแตกต่างระหว่างหุ้นขนาดเล็กกับหุ้นขนาดใหญ่ และชี้ให้เห็นว่าภาพรวมตลาดไม่สามารถสรุปแบบเหมารวมได้

อีกประเด็นที่ต้องพิจารณาคือวิธีการกำหนดราคา IPO โดยทั่วไปมี 2 วิธีหลัก ได้แก่ การขายให้กับนักลงทุนสถาบันผ่านกระบวนการ Book Building ซึ่งเป็นการเปิดให้นักลงทุนสถาบันเสนอราคาและประมูลออเดอร์ และการกำหนดราคาตรงสำหรับนักลงทุนรายย่อย
ทั้งสองวิธี ราคา IPO ที่ได้ ถือเป็นราคาที่เหมาะสม (Fair Price) ซึ่งระดับราคา IPO มีผลต่อปริมาณการจอง และความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งเป็นวิธีที่ทั่วโลกทำกัน

หุ้นที่มีการเสนอขายนักลงทุนสถาบัน ราคาจะมีความเสถียรมากกว่า เพราะมีพฤติกรรมลงทุนระยะยาว
ขณะที่หุ้นเสนอขายรายย่อยราคาจะมีความผันผวนมากกว่า ซึ่งอยากให้นักลงทุนเข้าใจว่าการลงทุนไอพีโอไม่ใช่การหวังกำไรระยะสั้น แต่ต้องศึกษาข้อมูลรอบด้าน ทั้งแผนธุรกิจ ผลประกอบการ และวิสัยทัศน์ผู้บริหาร เพื่อเลือกบริษัทที่เหมาะสม

“สรวิศ”แสดงวิชั่นครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดหลักทรัพย์กำลังวางกลยุทธ์เชิงรุก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและทำให้ตลาดทุนไทยกลับมามีแรงดึงดูด ทั้งสำหรับนักลงทุนและบริษัทที่ต้องการระดมทุน เป้าหมายคือการทำให้ SET แข่งขันได้ในระดับภูมิภาค และกลับมาเป็นเวทีสำคัญของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

โดย วารุณี อินวันนา