MINT จ้อง IPO Minor Food – Hospitality REIT ไตรมาส 4 ธุรกิจโรงแรมโต ร้านอาหารยังไม่ฟื้นชัด

HoonSmart.com>>“ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล” (MINT) จ้อง IPO ของ Hospitality REIT และ Minor Food ปลดล็อกมูลค่าที่ชัดเจนขึ้นของแต่ละธุรกิจ ส่วนไตรมาส 4/68 ธุรกิจโรงแรมยังเติบโตไปได้ ขณะที่ธุรกิจร้านอาหารยังไม่ฟื้นชัดเจน ด้านงบลงทุนปี 68 จบที่ 8,000 ล้านบาท หลักใช้ในส่วนโรงแรม 6,000 ล้านบาท พร้อมวางเป้า 1,000 โรงแรมในปี 73 จากปัจจุบันมี 630 โรงแรม ส่วนร้านอาหารตอนนี้มี 2,836 สาขา ปี 73 เป้าเกิน 4,500 สาขา

ดร.ริรินดา ตังทัตสวัสดิ์ รองประธานฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) กล่าวว่า ไตรมาส 4/68 ธุรกิจโรงแรมที่ยุโรป RevPAR (รายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก) ยังเติบโต YoY อยู่ระดับเลขหลักเดียว ส่วนไทยก็จะเติบโตเลขตัวเดียวเช่นกัน แต่มัลดีฟส์เติบโตเลข 2 หลัก ทั้งนี้ ปี 2569 ถ้าดูนักท่องเที่ยวแต่ละตลาดก็ยังดีอยู่ อย่างในยุโรปก็ยังเติบโตเลขหลักเดียว ถ้าเป็นเอเชียแปซิฟิกก็จะเห็นการเติบโตที่สูงกว่าเล็กน้อย เป็นเลขหลักเดียวในระดับสูง สำหรับของไทย เวลาที่มีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว MINT ก็ได้รับอานิสงส์เช่นกัน

ธุรกิจร้านค้ายังไม่เห็นการฟื้นตัวที่ชัดจน เพราะฉะนั้นจึงมีการทำ Innovation และออกเมนูใหม่ออกมา
กลยุทธ์การทำงานของแต่ละธุรกิจ ตอนนี้มี 630 โรงแรม ที่เปิดดำเนินการแล้ว และเซ็นสัญญารับจ้างบริหารแล้ว และคิดว่าจะไปถึง 1,000 แห่งภายในปี 2573 ในส่วนร้านอาหารตอนนี้ก็มี 2,836 สาขา ที่เปิดแล้ว และกำลังจะเปิดร้านแฟรนไชน์ และคิดว่าภายในปี 2573 น่าจะเกิน 4,500 สาขา

เป้าหมาย 3 ปี (2568-2571) การเติบโตรายได้คาดว่าจะเป็น High single-digit และการเติบโตของกำไรสุทธิ 15-20% ต่อปี ส่วน Return on Capital (ROC) อยู่ที่ 12%

การขยายธุรกิจโรงแรม สิ่งที่จะไปเป็นการรับจ้างบริหารโรงแรม หรือการใช้แฟรนไชน์โรงแรม จากทุกวันนี้อยู่ที่ 34% จะขึ้นไปเป็น 51% ถ้าดูในแง่ภูมิรัฐศาสตร์ส่วนที่ขึ้นมามากเป็นตะวันออก, แอฟริกา จะขึ้นจาก 10% เป็น 16% ส่วนเอเชียจะขึ้นจาก 15% เป็น 22% จะเห็นได้ว่าตลาด Emerging ระยะยาวจะมีการเติบโตสูง ขณะที่ตลาดพัฒนาแล้วจะมีการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ และถ้าไปดู Segment ที่จะเติบโตได้ชัดใน 3 ปีข้างหน้า (2568-2571) จะเป็นลัคชัวรี่ และพรีเมียม

โรงแรม 630 แห่งที่มีทุกวันนี้ อีก 3 ปีข้างหน้า(2571)จะไปถึง 850 ได้อย่างไร ตอนนี้มีหลายโรงที่เซ็นสัญญากับ Source of Fund, Private Equity Fund หรือบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่ง 1 กองทุนจะให้รับจ้างบริหารถึง 5-8 โรง ภายใต้แบรนด์ต่าง ๆ ที่อยู่ในพอร์ตโฟลิของบริษัท จะเป็นสิ่งที่ช่วยขยายธุรกิจได้เร็วขึ้นในอนาคต, 2. เป็นการทำพาร์ทเนอร์โฮลเทลกรุ๊ป ซึ่งอาจมี Connection กับผู้พัฒนาอสังหาฯในประเทศ แต่ตัวเขาเองอาจไม่มีความสามารถในการบริหารโรงแรม เราก็ช่วยกันพัฒนาได้ในอนาคต 3. High-value Contracts ก็คือต่อให้เซ็นสัญญาแค่โรงเดียว แต่เป็นโรงใหญ่ที่มีธุรกิจโรงแรมมาก หรือไม่อาจมี Resident หรือ Shopping Center ขึ้นมา ก็จะทำให้ค่าธรรมเนียมต่อ Contract สูงขึ้น ซึ่งบริษัทฯมี ROI เซ็นประเทศต่าง ๆ ที่ดูก็จะมีโมร็อกโค เป็นต้น เป็นประเทศใหม่ ๆ ที่ไม่เคยไปมาก่อน ภายใต้ Equity & JV หลาย ๆ คนอาจทราบแล้วอีก 2 ปีจะเปิดโรงแรมที่สิงคโปร์ และปี 2573 ก็จะมีเปิดโรงแรมที่ญี่ปุ่นด้วย

“เงินบาทแข็งค่าก็มีผลกระทบ เห็นได้จาก RevPAR เวลาที่แปลงเป็นเงินบาทจะติดลบ หลัก ๆ จะเป็นเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรามากกว่า เงินบาทแข็งค่าผลกระทบไม่ได้สูงมาก ขณะเดียวกันเงินบาทอ่อนค่าก็ไม่ได้มีผลอะไรมากจากการแปลงค่าแล้วหนี้สูงขึ้น”

น.ส.นมิดา อธิศพงศ์ ผู้อำนวยการกลุ่ม-ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) กล่าวว่า กลยุทธ์ของ MINT พยายามเสริมสร้างมูลค่าเชิงกลยุทธ์ให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัท ณ ปัจจุบันกำลังศึกษา 2 เรื่อง คือ อย่างแรกเรือง Hospitality REIT IPO 2. กำลังศึกษาให้ Minor Food IPO แยกตัวออกมาจาก MINT จุดประสงค์ต้องการปลดล็อกคุณค่าของบริษัทฯ จะทำให้เห็นถึงมูลค่าที่ชัดเจนขึ้น ของแต่ละธุรกิจ จุดประสงค์ปลายทางต้องการให้มูลค่าของไมเนอร์สูงขึ้น และต้องการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของงบดุล โดยเงินที่ได้จากสองเรื่องนี้จะนำมาใช้ชำระหนี้ และมองช่องทางอื่นที่จะเพิ่มมูลค่าให้นักลงทุน เช่นอาจมี Share buy-back และปันผล

สำหรับงบลงทุนของปี 2568 จะอยู่ที่ประมาณ 8,000 ล้านบาท หลักใช้ในส่วนของโรงแรม(Hotel) 6,000 ล้านบาท และ Food 1,000 ล้านบาท และอื่น ๆ อีก 1,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ร้านอาหาร ที่ทำเองและที่เป็นแฟรนไชน์มีอย่างละ 50:50 มีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนแฟรนไชน์มากขึ้น การเปิดร้านอาหารแฟรนไชน์ไม่จำเป็นต้องลงทุนเอง กลยุทธ์นี้จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งมาร์จิ้นโดยรวมได้ด้วย ทั้งนี้ ในอนาคตสัดส่วนการขยายตัวในประเทศไทยจะลดลง แต่จะขยายในประเทศอื่น ๆ ในอัตราที่สูงกว่าเมืองไทย โดยเฉพาะในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นเอเชียตะวันเฉียงใต้ รวมถึงอินโดนีเซีย และอินเดีย ที่เห็นถึงศักยภาพการเติบโตที่สูง ภายภาคหน้าจะเห็นสัดส่วนร้านค้ามีความสมดุลมากขึ้น

กลยุทธ์ของบริษัทฯพยายามเสริมสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์ที่มี กลยุทธ์แรกเกี่ยวกับนวัตกรรมใหม่ ๆ เกี่ยวกับเมนู เป็นตัวช่วยผลักดันยอดขาย โดยมีเป้าหมายขยายฐานลูกค้า และเพิ่ม engagement ระหว่างลูกค้ามากขึ้น 2. การเสนอความคุ้มค่าให้แก่ลูกค้า 3. ออกเมนูใหม่ ๆ 4. การทำการตลาดร่วมกับพาร์ทเนอร์ อย่างเช่น “เบอร์เกอร์คิงส์”ร่วมกับอะนิเมชั่น”นารุโตะ” ทำให้เห็นว่าการขายต่อบิลมีราคาสูงขึ้น ขณะเดียวกันเสริมสร้างมาร์จิ้นด้วย โดยพยายามเจาะกลุ่มตลาดทั้งเก่า-ใหม่ เสริมสร้างความแข็งแกร่ง อย่างแบรนด์ “Daily Queen” ออกไปเมืองรองมากขึ้น อย่างเช่น แม่ฮ่องสอน

ตลาดอินโดนีเซียเข้าไปเมื่อปีที่แล้วมี 33 สาขา ปีนี้เพิ่มมากกว่า 70 สาขา แบรนด์หลักในประเทศนี้คือ GAGA ซึ่งปีกว่าที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จ และคาดว่าปี 2569 อินโดนีเซียจะเป็นอีกตลาดหนึ่งที่เป็นตลาดหลักของ Minor Food

———————————————————————————————————————————————————–