STI แย้มงานใหม่รอเซ็นสัญญาเกินพันล.หนุนนิวไฮ

STI แย้มผลงานปีนี้โดดเด่นชี้แนวโน้ม Q4/61 คาดเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี ขณะที่ Backlog รอรับรู้รายได้กว่า 770 ล้านบาทและการเข้าประมูลงานใหม่ในปี 62 อยู่ในระดับสูง เชื่อพื้นฐานธุรกิจแกร่ง สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนได้

นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ (STI) ผู้นำในธุรกิจที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง และให้บริการออกแบบงานด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม งานตกแต่งภายใน และงานอนุรักษ์โบราณสถาน เปิดเผยว่า ในปี 2561 คาดผลประกอบการจะสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง เทียบกับผลประกอบการในปี 2560 มีรายได้จากการให้บริการรวมอยู่ที่ 494.56 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 57.51 ล้านบาท จากงานในมือ (Backlog) อยู่ในระดับสูง ณ งวด 9 เดือนแรกของปี 2561 อยู่ที่ 770.09 ล้านบาท หรือ คิดเป็นจำนวน 114 โครงการ โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 4/2561 ไปจนถึง 3 ปีข้างหน้า

“คาดว่า ภาพรวมธุรกิจในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี และตั้งเป้าทำนิวไฮต่อเนื่องอีกในปี 2562 จากการเข้าประมูลงานใหม่เพิ่มขึ้น คาดมีงานที่อยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญาในปีหน้า อีกไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท โดยเฉพาะโครงการ One Bangkok และอื่นๆ มั่นใจ จากการเติบโตของธุรกิจ จะสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน สะท้อนกลับมาที่ราคาหุ้นได้”นายสมเกียรติ กล่าว

ด้านบทวิเคราะห์บล.เคทีบี ระบุ STI ประเมินราคาเหมาะสมที่ 7.80 บาท ประเมินมูลค่าหุ้น STI ด้วยวิธี P/E Ratio ตามลักษณะของอุตสาหกรรมรับเหมาที่ใกล้เคียง ได้แก่ TEAMG, NWR, TRC, TTCL, PYLON, SYNTEC, SEAFCO, UNIQ, ITD, STEC และ CK ที่ 2019 Forward PER 18 เท่า เราจึงให้ราคาเหมาะสมปี 2019 ที่ 7.80 บาท (อิง 2019ForwardPER ที่ 18x) หรือคิดเป็น 2019PEG เพียง 0.5x (อิง 2018-20EPS CAGR ที่ 37%) เราจึงมองว่า STI นั้นมีความน่าสนใจในการลงทุน

STI เป็นผู้นำในธุรกิจให้บริการที่ปรึกษางานก่อสร้าง และโบราณสถาน มีสัดส่วนรายได้หลัก มาจากงานที่ปรึกษาบริหารและควบคุมการก่อสร้างเป็นหลักที่ประมาณ 81% คาดกำไรสุทธิ 2H18 อยู่ที่ 59 ล้านบาท (+ 32%YoY, +408%HoH) โดยขยายตัว YoY มาจากการรับรู้รายได้โครงการที่มีมูลค่าสูงขึ้น และขยายตัว HoH จากฐานรายได้ที่รับรู้เพิ่มขึ้นตาม Backlog และอัตรากำไรที่ดีขึ้นต่อเนื่อง จากบริษัท มีการรับรู้ค่าใช้จ่ายล่วงหน้าก่อนที่บริษัทจะมีการเซ็นสัญญารับรู้รายได้

ส่งผลให้โดยรวม คาดว่ากำไรสุทธิ ปี 2018 ของ STI อยู่ที่ 71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24%YoY ในขณะที่ เราคาดกำไรสุทธิปี 2019 อยู่ที่ 116 ล้านบาท (+64%) โดยเป็นผลจากรายได้อยู่ที่ 861 ล้านบาท (+32%YoY) มองว่า การที่เป็นบริษัทในกลุ่มของ UV Capital จะช่วยหนุนให้บริษัทมีโอกาสในการรับงานของกลุ่ม UV เพิ่มขึ้น เราประเมินมูลค่าหุ้น STI ด้วยวิธี P/E Ratio ตามลักษณะของอุตสาหกรรมรับเหมา และให้ราคาเหมาะสมปี 2019 ที่ 7.80 บาท (อิง 2019ForwardPER ที่ 18x) หรือคิดเป็น 2019PEG เพียง 0.5x

ด้านบทวิเคราะห์ บล.เคที ซีมีโก้ ระบุ STI ประเมินราคาพื้นฐานปี 62 ที่ 8 บาท/หุ้น (อิง PER 19 เท่า) ซึ่งต่ำกว่าเล็กน้อย เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย PER ของบริษัทในกลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้างใน SET ซึ่งมี PER เฉลี่ย 20 เท่า เนื่องจากฐานรายได้และกำไรที่เล็กกว่ากลุ่ม ทั้งนี้ จากคาดการณ์กำไรสุทธิปี 61-63 ของ STI ที่คาดว่าจะเติบโตในอัตราเฉลี่ย 30% ต่อปี ตามการเติบโตของรายได้และอัตรากำไรสุทธิ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตาม Economies of scale

ทั้งนี้ เรามองว่าการที่ STI มีผ้ถือหุ้นใหญ่คือ UV (สัดส่วน 26% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว) น่าจะสนับสนุนการเติบโตของงานในมือ รวมถึงผลประกอบการในระยะยาวได้เป็นอย่างดี เนื่องจากกลุ่ม UV มีโครงการพัฒนาอสังหาหาริมทรัพย์จำนวนมาก ซึ่งในปัจจุบัน STI ได้เข้ารับเป็นที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้างแล้วหลายโครงการ อาทิ โครงการ One Bangkok และโครงการ The PARQ เป็นต้น ขณะที่ธุรกิจ ออกแบบสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม โดยเฉพาะงานอนุรักษ์โบราณสถาน ซึ่งเป็นงานที่มีอัตรากำไรสูง เป็นจุดเด่นสำคัญที่ทำให้ STI แตกต่างจากคู่แข่งรายอื่น

แนวโน้มการเติบโตในระยะยาวของ STI จะมาจากการเติบโตของภาวะเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่น ของผู้บริโภค รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐฯ โดยเฉพาะการขยายเส้นทางรถไฟฟ้า ซึ่งจะมีส่วนทำให้ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นฐานรายได้หลักของ STI ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมแนวสูง และโครงการประเภท Mix-used ในแนวเส้นทางรถไฟฟ้า ที่มีแนวโน้มได้รับความนิยมมากขึ้น