บลจ.กสิกรไทย คาดปี 62 ผลตอบแทนตราสารหนี้ฟื้น-กนง.ขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง

บลจ.กสิกรไทย ประเมินปี 62 ผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ดีขึ้นกว่าปีก่อน ตามทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น ส่วนความผันผวนยังมีอยู่ แนะจับตาดอกเบี้ยนโยบาย คาดขึ้น 2 ครั้งปีหน้า พร้อมจ่ายปันผลกองทุน ABFTH กว่า 30 ล้านบาท รับคริสมาสต์ 25 ธ.ค.นี้

นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยมุมมองตลาดตราสารหนี้ปี 2562 ว่า บลจ.กสิกรไทย คาดว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ปี 2562 จะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา โดยมีอัตราผลตอบแทนปัจจุบัน (Running Yield) ที่สูงขึ้นตามทิศทางขาขึ้นของดอกเบี้ย ขณะที่สภาพคล่องในประเทศยังอยู่ในระดับสูง และอัตราเงินเฟ้อไม่เร่งตัว

อย่างไรก็ตามความผันผวนของราคาตราสารหนี้ยังคงมีอยู่จากปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะขึ้น 2 ครั้งในปี 2562 เพื่อเป็นการรักษาระยะห่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของไทยและสหรัฐฯ อีกทั้งประเด็นการเพิ่มขึ้นของส่วนต่างผลตอบแทนของหุ้นกู้ในประเทศด้วย

ชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์

นอกจากนี้บลจ.กสิกรไทย เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนเปิดดัชนีพันธบัตรไทยเอบีเอฟ (ABFTH) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2560 – 30 พฤศจิกายน 2561 ในอัตรา 4.00 บาทต่อหน่วย ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่อในสมุดทะเบียน ณ วันที่ 17 ธันวาคม 2561 โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 25 ธันวาคม 2561 รวมมูลค่าทั้งสิ้น 31.50 ล้านบาท

นายชัชชัย กล่าวต่อไปว่า ผลการดำเนินงานของกองทุนที่ผ่านมา กองทุนสามารถสร้างผลการดำเนินงานอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2549 โดยกองทุนมีการจ่ายเงินปันผลไปแล้ว 26 ครั้ง รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 424.73 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี และ 3 ปี อยู่ที่ 0.51% ต่อปี และ 2.39% ต่อปี ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 0.65% ต่อปี และ 2.59% ต่อปี (ข้อมูล ณ วันที่ 30 พ.ย. 61)

“จุดเด่นของกองทุน ABFTH คือ เป็นกองทุนรวม ETF กองทุนแรกของไทยที่มีการลงทุนโดยอ้างอิงกับดัชนีตราสารหนี้ภาครัฐ (iBoxx ABFTH Index) โดยกองทุนมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลไทย หรือออกโดยภาครัฐที่มีรัฐบาลไทยเป็นผู้ค้ำประกัน หรือได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือไม่ต่ำกว่าระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) จากสถาบันจัดอันดับที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล จึงมีความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ต่ำมาก และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงเนื่องจากกองทุนมีอายุเฉลี่ยของตราสาร (Portfolio Duration) ยาวกว่ากองทุนรวมตราสารหนี้ทั่วไป ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะยาว และต้องการบริหาร Portfolio Duration ที่มีระยะเวลาเฉลี่ยประมาณ 6-7 ปี เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นกว่าตราสารหนี้ระยะสั้น โดยปัจจุบันกองทุนมีขนาดประมาณ 9,600 ล้านบาท และจดทะเบียนซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)” นายชัชชัยกล่าว