ดาวโจนส์ปิดลบ 309 จุด มองโอกาสเฟดลดดอกเบี้ยน้อยลง

HoonSmart.com>>ดัชนีดาโจนส์ปิดร่วง 309 จุด , Nasdaq พุ่ง แรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ หลังราคาลงแรงหลายวันติด นักลงทุนรอข้อมูลเศรษฐกิจเพิ่มเติมในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ก่อนเฟดจะตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” WTI เพิ่มขึ้น 1.40 ดอลลาร์ กว่า 2.39% ปิดที่ 60.09 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ฟาก “ตลาดหุ้ยุโรป” ปิดลบ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ปิดที่ 47,147.48 จุด ลดลง 309.74 จุด หรือ -0.65% แต่ดัชนี Nasdaq พุ่งจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ขณะที่นักลงทุนรอข้อมูลเศรษฐกิจเพิ่มเติมในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปในเดือนธันวาคม

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,734.11 จุด ลดลง 3.38 จุด, -0.05%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,900.59 จุด เพิ่มขึ้น 30.23 จุด, +0.13%

ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 0.3%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 0.1% แต่ดัชนี Nasdaq ลดลง 0.5%

หุ้นเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นเล็กน้อยหลังจากเจ แรงกดดันในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หุ้นชั้นนำด้านปัญญาประดิษฐ์อย่าง Nvidia และ Oracle พลิกกลับมาจากการร่วงลงในการซื้อขายก่อนหน้า เช่นเดียวกับ Palantir Technologies และ Tesla
ซึ่งทั้งคู่ร่วงลงมากกว่า 6% ในวันก่อนหน้า

ความกังวลเกี่ยวกับธุรกิจ AI เริ่มเห็นมากขึ้นในสัปดาห์นี้ โดยหุ้นคลาวด์ Oracle ซึ่งเคยร้อนแรงได้ร่วงลงอย่างหนักเมื่อเร็วๆ นี้ ยิ่งสร้างความตื่นตระหนกให้กับนักลงทุนเกี่ยวกับมูลค่าเทคโนโลยีที่สูงขึ้น

บรรยากาศการซื้อขายตึงเครียดมากขึ้น เนื่องจากความกังวลที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะชะลอการผ่อนคลายนโยบายลงนั้น เพิ่มมากขึ้น จากการที่เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางมีความเห็นในเชิงเข้มงวดมากขึ้น

ปัจจุบัน นักลงทุนมองว่าโอกาสที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในเดือนหน้ามีน้อยกว่า 50% ซึ่งลดลงจากประมาณ 95% เมื่อเดือนที่แล้ว

นีล แคชคารี ประธานเฟดสาขามินนีแอโพลิส เป็นคนล่าสุดที่ไม่ต้องการที่จะลดอัตราดอกเบี้ยลง เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความแข็งแกร่งและความกังวลอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ

ผู้กำหนดนโยบายขาดข้อมูลลึกเกี่ยวกับแรงกดดันด้านราคา รวมถึงตลาดแรงงานหลังจากการปิดทำการของรัฐบาลกลางเป็นเวลาหกสัปดาห์ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ ระบุว่ารายงานการจ้างงานเดือนกันยายนจะเผยแพร่ในวันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน

สำหรับความเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัว หุ้น UnitedHealth Group ลดลง 3.2% และหุ้น Visa ลดลง 1.8%
หุ้น Warner Bros Discovery เพิ่มขึ้น 4% หลังบริษัทปรับสัญญาการจ้างงานของ เดวิด แซสลาฟ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารระหว่างการทบทวนกลยุทธ์ของธุรกิจ

ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ เนื่องจากความเห็นในเชิงเจ้มงวดของผู้กำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ทำให้ความคาดหวังต่อการลดอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ลดน้อยลง

ดัชนี STOXX 600 รอบสัปดาห์นี้ปรับขึ้นแข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนก็ตาม

ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 574.81 จุด ลดลง 5.86 จุด, -1.01%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,698.37 จุด ลดลง 109.31 จุด, -1.11%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,170.09 จุด ลดลง 62.40 จุด , -0.76%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,876.55 จุด ลดลง 165.07 จุด, -0.69%

หุ้นกลุ่มธนาคารลดลง 2.4%

สถานการณ์เศรษฐกิจมหภาคในสหรัฐฯ ได้รับความสนใจอย่างมากในสัปดาห์นี้ และนักลงทุนต่างมีความหวังว่าการกลับมาเผยแพร่ข้อมูลอีกครั้งจะบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง และจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม

อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังดังกล่าวได้ลดลง หลังจากที่ผู้กำหนดนโยบายของเฟดจำนวนมากขึ้นได้ส่งสัญญาณถึงความระมัดระวังในการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม

นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังตกอยู่ภายใต้แรงขายอีกครั้งร่วงลง 1.4% ซึ่งก่อนหน้านี้แตะระดับต่ำสุดในรอบ 7 สัปดาห์

หุ้นกลุ่มสินค้าหรู Richemont (S:CFR) เพิ่มขึ้น 5.9% สวนทางตลาดและหนุนกลุ่มสินค้าหรูหราโดยรวม หลังจากรายงานยอดขายรายไตรมาสสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้

หุ้น Siemens Energy พุ่งขึ้น 9.4% หลังจากบริษัทจากประกาศแผนการจ่ายเงินปันผลครั้งแรกในรอบสี่ปี และปรับเพิ่มคาดการณ์แนวโน้มระยะกลาง

ขณะเดียวกัน ดัชนี FTSE 100 ของสหราชอาณาจักรร่วงลง 1.1% โดยได้รับแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่พุ่งสูงขึ้น หลังจากมีรายงานว่า Rachel Reeves รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ยกเลิกแผนการขึ้นอัตราภาษีเงินได้ในงบประมาณที่จะถึงนี้ ซึ่งทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับแผนการปรับสมดุลการคลังสาธารณะ

ในขณะเดียวกัน ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจของโซนยูโรยังคงขยายตัวในอัตราที่พอประมาณแต่ก็น่าพอใจในไตรมาสที่สาม ขณะที่ดุลการค้าก็พุ่งสูงขึ้นในเดือนกันยายนจากการส่งออกที่แข็งแกร่งไปยังสหรัฐฯ

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนมกราคม เพิ่มขึ้น 1.40 ดอลลาร์ หรือ 2.39% ปิดที่ 60.09 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนมกราคม เพิ่มขึ้น 1.38 ดอลลาร์ หรือ 2.19% ปิดที่ 64.39 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 
 
 
 
 
———————————————————————————————————————————————————–