ศูนย์วิจัยกสิกรฯชี้ 4 ช่องเพิ่มรายได้ ดันจีดีพี 1% – เครดิตประเทศบวก

HoonSmart.com>>ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กระทุ้งรัฐฟรีซขาดดุลการคลังที่ 3% – ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ-เพิ่ม 4 ภาษีเพิ่มรายได้ 1% ของจีดีพี เพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ ก่อนถูกปรับลดทำต้นทุนการเงินพุ่ง ยกกรณีศึกษาฝรั่งเศสปรับไม่ได้ถูกหั่นเรียบร้อย ขณะที่อิตาลีคุมค่าใช้จ่ายหน่วยงานรัฐอยู่หมัดอันดับเพิ่มทันที

น.ส.ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย  กล่าวว่า การที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ฟิทช์ เรทติ้งส์ และมูดี้ส์ ปรับมุมมองอันดับเครดิตของประเทศไทยจาก “มีเสถียรภาพ” (Stable Outlook) เป็น “เชิงลบ” (Negative Outlook)   แม้ยังคงอันดับเครดิตที่ BBB+ สะท้อนความกังวลหลักต่อฐานะการคลังของไทยที่อ่อนแอลงอย่างต่อเนื่องหลังวิกฤตโควิด ซึ่งอาจจะกลายเป็นปัจจัยหลักที่นำไปสู่การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในช่วง 1–2 ปีข้างหน้า ซึ่งบทเรียนจาจากต่างประเทศ ชี้ให้เห็นว่าต้องมีการลดขาดดุลการคลังอย่างเป็นรูปธรรม

หากเปรียบเทียบฐานะการคลังของไทยกับประเทศอื่นในกลุ่มอันดับเดียวกัน (BBB+ หรือ Baa1) จะเห็นว่าไทยอ่อนแอกว่า ขณะที่เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังโควิดระบาด โดยเฉพาะหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นรวดเร็ว และการขาดดุลการคลังที่ยังสูงต่อเนื่อง

กรณีเศรษฐกิจไทยเติบโตเพียง 2% ต่อปีในระยะข้างหน้า การขาดดุลการคลังอาจยังอยู่สูงกว่า -4.0% ของ GDP โดยที่ภาระการคลังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากสังคมผู้สูงอายุ ทำให้งบประมาณรายจ่ายสวัสดิการสังคม ประกอบด้วยระบบบำนาญและการออม,ค่ารักษาพยาบาล และเบี้ยผู้สูงอายุ เพิ่มขึ้นแตะ 28.5% ของรายจ่ายงบประมาณประจำปี ในปี 2570 และหนี้สาธารณะมีแนวโน้มแตะกรอบเพดาน 70% ภายในปี 2570

นอกจากนี้ยังมีภาระหนี้ของรัฐบาลที่ยังไม่ปรากฎในหนี้สาธารณะอีกประมาณ 5% ของจีดีพี เช่น เงินสมทบประกันสังคมค้างจ่าย 0.56 แสนล้านบาท มาตรา 28 กิจกรรมกึ่งการคลัง ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ รวม 8.7 แสนล้านบาท เป็นของ ธ.ก.ส.85.5% ,บสย. 8.4% และของออมสิน 4%

“เรามองว่าแม้หนี้สาธารณะจะแตะ 70% ก็ยังไม่อยู่ในภาวะวิกฤติ แต่การจะขยับกรอบขึ้นไปเป็น 80% อาจจะทำให้เป็นความเสี่ยงทางด้านการคลังที่มีผลต่อความน่าเชื่อถือของประเทศ”น.ส.ณัฐพร กล่าว

น.ส.ณัฐพร กล่าวว่า รัฐบาลไทยอยู่ระหว่างการทบทวนแผนการคลังระยะปานกลาง โดยจะมีการนำเข้าที่ประชุมครม.สัปดาห์หน้า ซึ่งน่าจะเห็นรายละเอียดแผนลดการขาดดุลการคลังที่ชัดเจนขึ้น โดยคาดหวังว่าจะเห็นการขาดดุลการคลังอยู่ในระดับ 3% ใน 3-4 ปีหน้า ซึ่งต้องควบคู่ไปกับการปฎิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง

ดร.ลลิตา เธียรประสิทธิ์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย  ได้นำเสนอบทเรียนจากต่างประเทศ เช่น อิตาลี และฝรั่งเศส ชี้ให้เห็นว่า ประเทศที่สามารถหลีกเลี่ยงการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือได้ มักมีการดำเนินนโยบายลดขาดดุลอย่างเป็นรูปธรรม

กรณีศึกษา ประเทศอิตาลี ที่สามารถลดการขาดดุลจาก 8.0% เหลือต่ำกว่า 4.0% ของ GDP ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี ผ่านแผน


1.เพิ่มรายได้ ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บภาษี ผ่าน e-invoicing และ digital tracking เพื่อลดการหลีกเลี่ยงภาษี,ลดสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ไม่จำเป็น เช่น การเครดิตภาษีปรับปรุงอาคาร และทำการขยายฐานภาษี ด้วยการเก็บภาษีจากกิจกรรมเศรษฐกิจดิจิทัลและแรงงานอิสระ ปรับปรุงภาษีสิ่งแวดล้อมและภาษีทรัพย์สิน
2.ลดรายจ่าย ด้วยการตั้งกรอบการใช้จ่าย 3 ปีล่วงหน้า เพื่อควบคุมงบประมาณและลดการใช้จ่ายเกินจำเป็น และจำกัดรายจ่ายประจำ ในหน่วยงานภาครัฐอย่างเข้มงวด
3.ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้จ่ายภาครัฐ ตัดงบประมาณที่ซ้ำซ้อน รวมหน่วยงานรัฐที่มีความซ้ำซ้อนกัน

กรณีศึกษา ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งถูกปรับลดทั้งมุมมองและอันดับเครดิตจากการขาดดุลการคลังที่เพิ่มขึ้นโดยยังสูงกว่า 5% ของจีดีพี จากหนี้สาธารณะที่สูงและแนวทางในการปรับการขาดดุลยังไม่ชัดเจน รายจ่ายด้านบำนาญสูงขึ้นและการปฏิรูปบำนาญยังมีความล่าช้า และรายจ่ายที่เกิดจากการอุดหนุนเพิ่มขึ้น เช่น การตรึงราคาพลังงาน และการอุดหนุนค่าครองชีพ
ผลกระทบจากการถูกปรับลดเครดิตประเทศ ทำให้ฝรั่งเศสต้องเผชิญกับต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นทันที และตามมาด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลจะถูกปรับลดอันดับเครดิต ทำให้ต้นทุนการเงินของหน่วยงานเหล่านี้สูงขึ้นไปอีก และ อัตราการผิดนัดชำระหนี้สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไม่ได้หมายความว่าอันดับเครดิตของภาคเอกชนจะถูกปรับลดไปด้วย ขึ้นอยู่กับฐานะทางการเงินของแต่ละบริษัท

น.ส.ปริชญา ฤทธิ์สุข นักวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย  กล่าวว่า แนวทางลดขาดดุลการคลังของไทยอาจไปที่การเพิ่มรายได้ภาครัฐ เนื่องจากรายจ่ายส่วนใหญ่ 90% เป็นรายการที่ปรับลดได้ยาก ประกอบด้วย ค่าตอบแทนบุคลากรรัฐ ที่มีสัดส่วน 22.3% ของรายจ่ายงบประมาณประจำปี,รายจ่ายลงทุน 21%,รายจ่ายชำระหนี้และภาระคงค้าง 16.5%,รายจ่ายระบบำนาญและการออม 14.5% ,รายจ่ายค่ารักษาพยาบาล 10.8%,รายจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุ 3.2% และ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 1.3%

ในระยะสั้น มาตรการเพิ่มรายได้แบบเฉพาะจุด (Piecemeal) อาจช่วยประคองสถานการณ์ได้บ้าง แต่ในระยะปานกลางถึงยาว การปฏิรูปการคลังอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องพึ่งพาการพัฒนาฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพเพื่อออกแบบนโยบายสวัสดิการอย่างตรงเป้า ควบคู่กับการขยายฐานภาษีและการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ

สำหรับ 4 แนวทางในการเพิ่มรายได้ระยะสั้นที่สามารถทำได้ จะช่วยเพิ่มรายได้ให้ประมาณราว 1% ของจีดีพี และช่วยลดการขาดดุลการคลังลงได้ โดยในปีงบประมาณ 2569 คาดว่าจะมีการขาดดุลการคลัง 4.5%
1.เพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จาก 7% เป็น 8% รายได้จะเพิ่มขึ้น 0.5%
2.ปรับลดเพดานจากรายการลดหย่อนภาษี 10% จากปัจจุบัน รายได้จะเพิ่มขึ้น 0.3%
3.จัดเก็บภาษีนิติบุคคลในอัตราไม่ต่ำกว่า 15% ตามมาตรการจัดเก็บภาษีขั้นต่ำทั่วโลก (Global Minimum Tax) ลดปัญหาการหลีกเลี่ยงภาษีของบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ จะช่วยเพิ่มรายได้ 0.1%
4.ยกเลิกการยกเว้นภาษีนำเข้าและ VAT สำหรับสินค้าที่มูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท จะช่วยเพิ่มรายได้ 0.12%