HoonSmart.com>>”พีทีที โกลบอล เคมิคอล” (GC) ผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล โชว์ผลงาน 9 เดือน/2568 มีรายได้รวม 392,763 ล้านบาท Adjusted EBITDA 16,606 ล้านบาท ไตรมาส 3 รายได้รวม 126,836 ล้านบาท ลดลง 5%จากไตรมาสก่อนหน้า Adjusted EBITDA อยู่ที่ 5,147 ล้านบาท ลดลง 15% สะท้อนภาวะตลาดที่ผันผวน ลั่นยังคงเดินหน้ากลยุทธ์อย่างมีวินัย เสริมความสามารถทางการแข่งขัน รักษาเสถียรภาพทางการเงิน วางรากฐานเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล หรือ GC กล่าวว่า แม้สถานการณ์อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเศรษฐกิจโลกยังเผชิญความท้าทายหลายด้าน ทั้งกำลังการผลิตส่วนเกินจากตลาดที่มีต้นทุนต่ำ สงครามการค้า และปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้และส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร
อย่างไรก็ตาม GC ยังคงดำเนินกลยุทธ์ตามแผนที่วางไว้ได้อย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการปัจจัยที่ควบคุมได้ เพื่อพลิกสถานการณ์และสร้างความพร้อมสำหรับการเติบโตในระยะถัดไป ทั้งการดำเนินงานตามเป้าหมาย กลยุทธ์ Portfolio Transformation และการบริหารสินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด การเพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่าย การเพิ่มประสิทธิภาพแบบองค์รวมด้วยแนวทาง Holistic Optimization รวมทั้งเดินหน้าตามแผนลดภาระทางการเงิน (Deleveraging Program) และการบริหารสภาพคล่อง โดยมีความคืบหน้าที่สำคัญหลายด้าน ได้แก่
•เพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายรวมกว่า 5,500 ล้านบาทต่อปี ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 มีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 4,000 บาทต่อปี คาดว่าจะสามารถทำได้เกินกว่าเป้าหมาย
•ขับเคลื่อนแนวทาง Holistic Optimization เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานแบบองค์รวม และเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน อาทิ โครงการนำเข้าอีเทนจากสหรัฐฯ มาใช้เป็นวัตถุดิบทดแทน และโครงการใช้พลังงานความเย็นจากก๊าซธรรมชาติเหลวในกระบวนการผลิตโอเลฟินส์
• การดำเนินการตามแผน Deleveraging และการบริหารสภาพคล่อง ขยายวงเงิน Trade Credit Facility สำหรับการจัดหาวัตถุดิบกับ ปตท. เพิ่มสภาพคล่องและความยืดหยุ่นทางการเงิน และออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ สกุลเหรียญสหรัฐฯ มูลค่ารวม 1,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเดือนก.ย. 2568 ซึ่งเป็นมูลค่าสูงที่สุดในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มียอดจองซื้อสูงกว่า 8 เท่าของมูลค่าที่เสนอขาย ส่งผลให้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยลดลงประมาณ 75,000 ล้านบาท และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Debt/Equity) ลดลงจาก 0.84 เท่า เมื่อสิ้นปี 2567 มาอยู่ที่ระดับประมาณ 0.50 เท่า ในไตรมาส 3 ขณะที่ บริษัทฯ ยังมีวงเงินทุนหมุนเวียน (Committed facility) จากปตท. และ สถาบันการเงินรวมกว่า 70,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง
• เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ สกุลเงินบาท สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป ระหว่างวันที่ 27–28 พ.ย. และ 1–3 ธ.ค. 2568
• ดำเนินการ Asset Monetization เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์ โดยมี 2 ธุรกรรมสำคัญ ซึ่งจะนำเสนอเพื่อพิจารณาอนุมัติในที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 18 พ.ย. 2568 ได้แก่
การขายหุ้นบางส่วนใน บริษัท ไทยแท้งค์เทอร์มินัล (TTT) ให้บริการท่าเทียบเรือและคลังเก็บวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ให้แก่ บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล (PTT Tank) คิดเป็นสัดส่วน 35.43% ภายหลังธุรกรรม GC จะยังคงถือหุ้นอยู่ 1%
การขายทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานบางส่วนที่เกี่ยวกับท่าเทียบเรือและคลังเก็บผลิตภัณฑ์ใน Buffer Tank Farm ให้แก่บริษัทย่อยของ PTT Tank โดย GC จะเช่าทรัพย์สินกลับบางส่วน (Leaseback) และใช้บริการท่าเทียบเรือและพื้นที่ส่วนกลางต่อเนื่อง รวมทั้งยังคงเป็นผู้ดำเนินการและบำรุงรักษา (O&M) เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ
สำหรับปี 2569 บริษัทฯ จะยังคงดำเนินมาตรการเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายรวมกว่า 5,500 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจะรับรู้ผลประโยชน์อย่างต่อเนื่อง (recurring) พร้อมทั้งสร้างผลประโยชน์เพิ่มเติมอีกกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี จากความคืบหน้าที่ทำได้ในปี 2568 นอกจากนี้ GC ยังเดินหน้าขับเคลื่อนตามแนวทาง Holistic Optimization เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานแบบองค์รวมและเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสามารถสร้างผลประโยชน์เพิ่มเติมได้อีก 1,200 ล้านบาทต่อปี ในปี 2569
นอกจากนี้ ยังคงเดินหน้าดึงศักยภาพของ allnex ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกด้าน Coating Resins ผ่านการดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่าย ท่ามกลางภาวะอุตสาหกรรมที่ชะลอตัว โดยมีการดำเนินงานสำคัญ ได้แก่
• การขยายกำลังการผลิตในตลาดศักยภาพสูง อาทิ ประเทศจีน อินเดีย และไทย เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันและรองรับการเติบโตในเอเชีย โดยเล็งเห็นว่าประเทศไทยสามารถพัฒนาเป็นศูนย์กลางสำคัญของเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
• Project Helix โครงการลดต้นทุนเชิงโครงสร้าง โดยตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายได้ 40 ล้านยูโรต่อปี ภายในปี 2569–2570 ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญต่อเป้าหมายเพิ่ม EBITDA ให้ได้อีกอย่างน้อย 25 ล้านยูโรต่อปี ภายในปี 2573
• Commercial Excellence และ Supply Chain Optimization ปรับกระบวนการเชิงพาณิชย์และห่วงโซ่อุปทานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
• Growth Platform หน่วยธุรกิจที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่มีอยู่เดิมเพื่อขยายไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง พร้อมพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ อาทิ สารเติมแต่ง (additives) วัสดุคอมโพสิต และแบตเตอรี่ รวมถึงพัฒนานวัตกรรมเพื่อรองรับความต้องการใหม่ของตลาด
GC ยังได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในองค์กร ผ่านแนวคิด 3 Smart: Smart Plant, Smart Sales & Marketing, Smart Work Process เช่น การใช้เทคโนโลยี AI Vision และ Drone Inspection ตรวจสอบสภาพ Roof Tank ร่วมกับข้อมูลดาวเทียม โดยไม่ต้องหยุดการดำเนินงาน การตรวจสอบสภาพ Heat Exchanger หลังการทำความสะอาด ช่วยลดเวลาและเพิ่มความแม่นยำในการประเมินสภาพอุปกรณ์ การใช้ Drone ตรวจสอบท่อภายใน (Internal Pipe) แทนการปีนขึ้นตรวจในพื้นที่เสี่ยง ช่วยเพิ่มความปลอดภัยของพนักงาน ซึ่งเฉพาะที่ยกตัวอย่างสร้างประโยชน์ทางธุรกิจได้มากกว่า 20 ล้านบาทต่อปี
ขณะเดียวกัน บริษัทได้ให้ความสำคัญกับการนำนวัตกรรมมาเป็นพลังขับเคลื่อนองค์กร ทั้งด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า และการยกระดับกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนยิ่งขึ้น ควบคู่กับการสร้าง Innovation Culture ที่เปิดโอกาสให้พนักงานทุกระดับมีส่วนร่วมเสนอแนวคิดใหม่ ๆ ผ่านแพลตฟอร์ม GC StandOut ซึ่งได้ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม โดยในปี 2568 GC ได้รับ 3 รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ตอกย้ำบทบาทขององค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน ทั้งในระดับองค์กร ผลิตภัณฑ์ และเศรษฐกิจ
“GC ยังคงดำเนินกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมศักยภาพของธุรกิจให้พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจโลก แม้ปัจจุบันจะยังอยู่ในช่วงของการพลิกฟื้นธุรกิจ แต่บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าด้วยการดำเนินงานตามกลยุทธ์ที่วางไว้ การบริหารจัดการการเงินอย่างมีวินัย และการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม จะช่วยให้ GC ก้าวผ่านช่วงท้าทายนี้ และต่อยอดสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว” นายณะรงค์ศักดิ์ กล่าว
ทางด้านนางทวิรัศมิ์ โฆษิตบันเทิง ผู้จัดการฝ่าย การเงินองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล กล่าวว่า ในปี 2569 คาดว่าปริมาณของโรงกลั่นจะเพิ่มขึ้นราว 18% จากปี 2568 เนื่องจากปีหน้าไม่มีการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น ขณะที่ปิโตรเคมีมีปัจจัยบวกจากที่บริษัทคาดว่าจะรับฟีดสต็อกอีเทนเพิ่มขึ้นจากจำนวน 1.8 ล้านตัน เป็น 1.9 ล้านตัน ทำให้ภาพรวมปริมาณปิโตรเคมีเพิ่มขึ้น 11% ปริมาณการกลั่นและปิโตรเคมีที่เพิ่มขึ้นจะบันทึกเข้ามาในงบการเงินบริษัท 3,000-4,000 ล้านบาทในปีหน้า
นอกจากนี้ ในปีหน้าคาดว่าจะได้รับผลประโยชน์จากการขับเคลื่อนแนวทาง Holistic Optimization 1,200 ล้านบาท และตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายอีก 1,000 ล้านบาท อีกทั้งการปรับปรุงโครงสร้าง Vencorex ทำให้ Bottom line ดีขึ้นประมาณ 2,400 ล้านบาท และหากปิดดีลจากการทำ Non-core Assets Monetization บริษัทจะได้รับผลประโยชน์อีกราว 2,300 ล้านบาท แต่ยอมรับว่าส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์ยังต้องติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด เนื่องจากปัจจัยภาวะอุตสาหกรรมยังมีความท้าทายมาก แต่สถานการ์ณปัจจุบันน่าจะต่ำมากสุดของวัฎจักรแล้ว แต่การฟื้นตัวอาจยังต้องติดตามปัจจัยต่าง ๆ โดยเฉพาะการควบคุมซัพพลายในประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะ จีน
