HoonSmart.com>>บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ ตั้งเป้าผลเรียกเก็บปี’69 โต 5% ดัน ROA ยืน 1.4–1.5 เท่า ผ่านกลยุทธ์คุมต้นทุน–ขยายพันธมิตร–รับจ้างบริหารหนี้ เตรียมร่วมทุนอีก 2 ราย ธ.ค.นี้ เติมหนี้เรียกเก็บเป็น 2,000 ล้านบาทต่อเดือน ก้าวสู่ “BAM X” ด้วยโมเดลธุรกิจใหม่-แพลตฟอร์มดิจิทัลครบวงจร 9 เดือนแรกกำไร 1,695 ล้านบาท พุ่ง 57%
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (BAM) เปิดเผยว่า ปี 2569 ตั้งเป้าหมายผลเรียกเก็บหนี้โตเหนือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ประมาณ 5% เป็นเป้าหมายที่สามารถบรรลุได้จริง ไม่สูงเกินเอื้อม จากปี 2568 ที่คาดว่าจะทำได้ตามเป้าหมาย 1.78 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตามตัวเลขอย่างเป็นทางการต้องรอคณะกรรมการของบริษัทอนุมัติแผนก่อน ซึ่งจะมีการเสนอในเดือนธ.ค.2568
ขณะที่ อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (Return on Assets :ROA) ภายในสิ้นปีนี้ จะอยู่ที่ 1.4–1.5 เท่าภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของบริษัททริสเรทติ้งที่ระบุว่า ROA ของบริษัทฯไม่ควรต่ำกว่าระดับดังกล่าว ซึ่งเป็นผลมาจากการลดการซื้อทรัพย์ ผลตอบแทนดีขึ้น ต้นทุนไม่เพิ่ม
ในช่วงที่เหลือของปี จะเพิ่มความสามารถการเรียกเก็บหนี้เพิ่มเป็นเดือนละ 2,000 ล้านบาท จาก 9 เดือนแรกที่เก็บได้เดือนละ 1,500 ล้านบาท ถือว่าสุดทางเลื่อนของพนักงานทั้งหมดที่มีอยู่ 1,326 ชีวิต ผ่านการเพิ่มจักรวาล BAM คือ พันธมิตร และการร่วมทุน
ปัจจุบัน บริษัทร่วมทุนกับ 2 บริษัท บริษัท บริหารสินทรัพย์ อารีย์ จำกัด,บริษัท บริหารสินทรัพย์ อรุณ จำกัด สร้างผลเรียกเก็บที่เป็นกำไรรายละ 100 ล้านบาท ถ้าร่วมทุนกับอีก 2 เจ้าก็จะได้เพิ่มมาอีก 200 ล้านบาท จะมาเติมเต็มเป้าหมายที่ยังขาดอยู่ให้ถึง 2,000 ล้านบาท ซึ่งการร่วมทุนนี้จะเกิดขึ้นในเดือนธ.ค.นี้อีก 2 ราย
บริษัทร่วมทุนแรก คือ “อารีย์” มีอัตราความสำเร็จของการเรียกเก็บหนี้อยู่ที่ 30% แล้วซึ่งถือว่าเป็น New High ของการทำกิจการในลักษณะนี้ในปีแรกๆ
ในมุมของ”อรุณ”อาจจะต่ำกว่า เพราะลักษณะหนี้มีหลักประกัน หนี้ที่มีหลักประกัน กับไม่มีหลักประกัน จะไม่เหมือนกัน
ในมุมของจริตการเทิร์น ของที่เรียกเก็บได้อารีย์ อาจจะอยู่ที่ประมาณ 10-20 บวกลบแต่ก็ถือว่าเป็น Industry Norm ที่ทำได้ดีในปีแรกเหมือนกัน
“ในมุมของอารีย์ เรื่องของกำไรไม่ใช่ประเด็นหลัก ผมให้นโยบาย รวมถึงผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยให้นโยบายคือช่วยคนให้ได้เร็วที่สุด ช่วยให้ได้มากที่สุดในมุมนั้นจะเป็นโซเชียล KPI มากกว่า ภายใต้เงื่อนไขว่าเราไม่เข้าเนื้อ ส่วนมุมที่เป็นหนี้ commercial transaction ของอารีย์ เขาทำกำไรได้งดงามมากอยู่แล้วแต่ในมุมของการที่จะนำภาระบางส่วนที่เป็นจุดตั้งต้นในการให้กำเนิดเขา เขาก็ต้องทำหน้าที่พันธกิจเรื่องของ manage บ้านด้วยเหมือนกันและด้วยความที่เป็นหนี้ไม่มีความซับซ้อน การตัดหนี้ด้วยความเอื้ออาทร อารีย์น่าจะเอาอยู่”ดร.รักษ์ กล่าว
ดร.รักษ์ กล่าวถึงกลยุทธ์การทำให้อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ อยู่ที่ 1.4-1.5 เท่าภายในปีนี้และรักษาระดับดังกล่าวไปไว้ในปีหน้าว่า จะมาจาก กลยุทธ์กระสุน 3 ดอก อันแรกคือ มาจากกำไรสุทธิ ที่ได้จากผลเรียกเก็บหนี้ ปัจจุบัน BAM มีทรัพย์อยู่ 30,000 ชิ้น และจะซื้อเพิ่มและถูกเติมเข้ามาปีละ 3,000 ชิ้น หรือ 5,000 ชิ้น แต่จำนวนพนักงานยังเท่าเดิม ก็สามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรได้ในระดับหนึ่ง
สอง มาจากการเติบโตจากธุรกิจรอบข้าง ที่เกิดจากการร่วมทุน การร่วมมือกับพันธมิตร
สาม ธุรกิจใหม่ๆที่อยู่ในขอบของกฎหมายที่สามารถทำได้ เป็นกระสุนนัดที่ 3 คือการรับจ้างบริหารหนี้คล้ายๆกับที่ตอนนี้ BAM รับจ้างบาง Operation ของบริษัทลูก ในลักษณะนี้ สามารถที่จะสร้างรายได้จากมุมที่ไม่เหนื่อยมากขึ้น
BAM จะยังเดินหน้าทำการซื้อทรัพย์โดยการร่วมทุน แต่ต้องคิดเงื่อนไข โซลูชั่น ให้ครบรอบด้านมากขึ้น เพื่อเพิ่มความสามารถด้านการสร้างผลเรียกเก็บได้ดีขึ้น ตามกลยุทธ์กระสุน เม็ดที่ 2 ด้วยการทำข้อตกลงเฉพาะ คือ โอนทรัพย์มาในราคาที่ตกลงกัน โดยที่ BAM จะมีเงินทอน หรือส่วนลดให้ในปีที่ 7 ,ปีที่ 9 ,ปีที่ 11 เป็นต้น
“จะทำให้การทำงานของธุรกิจการบริหารสินทรัพย์ หรือ AMC ครบ 360 องศาจริงๆ สามารถที่จะสร้างการเติบโตได้ไม่น้อยกว่าสถาบันการเงิน เพียงแต่ต้องใช้ทุกเครื่องมือที่มีให้ครบซึ่งทุกวันนี้เราเอาออกมาเล่นประมาณ 60-70% แล้ว”ดร.รักษ์ กล่าว

ดร.รักษ์ เปิดเผย ผลการดำเนินงาน 9 เดือน ปี 2568 ว่า โดยภาพรวมเป็นที่น่าพอใจ สามารถสร้างผลเรียกเก็บได้มากถึง 13,803 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 10,910 ล้านบาท หรือโตถึง 27% และมีกำไร 1,695 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 57% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,079 ล้านบาท รวมทั้งแซงหน้ากำไรของปี 2567 ที่ทำได้ 1,602 ล้านบาท แล้ว
ผลงานทางด้าน NPL ยังเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์ด้วยแนวทางที่ให้โอกาสลูกหนี้ในการได้หลักประกัน ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยหรือที่ทำกินกลับคืนไปด้วยเงื่อนไขที่ผ่อนปรน และมุ่งช่วยเหลือลูกหนี้ให้สามารถฟื้นฟูกิจการหรือสถานะทางการเงิน โดยปรับโครงสร้างหนี้และหาทางออกที่ดีที่สุดร่วมกัน ด้วยกระบวนการ Recycling Machine ซึ่งมีเป้าหมายในการเร่งสร้างโรงงานแก้หนี้ (TDR Factory) เพื่อฟื้นฟูให้ลูกหนี้กลับมามีสุขภาพทางการเงินที่ดีขึ้น พร้อมเดินหน้าการทำ NPL Partnership ด้วยความร่วมมือระหว่างสถาบันการเงิน รวมทั้งการทำ JV Window หรือการสร้างรายได้ด้วยโมเดลการบริหารเพื่อแบ่งกำไร และโมเดลการรับจ้างบริหาร
ขณะที่การบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขาย หรือ NPA พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์พันธมิตรทางธุรกิจ (NPA Partnership) ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญที่มุ่งขยายฐานธุรกิจและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น ผ่านความร่วมมือกับบริษัทพันธมิตรที่มีศักยภาพ อาทิ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ บริษัท วี บียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์ บริษัท ไซมิส แอสเสท บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป และบริษัท อรสิริน กรุ๊ป จำกัด ส่วนสถาบันการเงิน เช่น ธนาคารยูโอบี ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดย
BAM มุ่งเน้นการคัดสรรและนำเสนอทรัพย์ NPA ขนาด Big Lots ให้พันธมิตรนำไปพัฒนาและเพิ่มมูลค่า ทั้งบ้านเดี่ยว อาคารพาณิชย์ คอนโดมิเนียม และที่ดินเปล่า เพื่อพลิก “ทรัพย์ร้าง” ให้กลายเป็น “ทรัพย์สร้างมูลค่า” ต่อยอดเป็นทรัพย์สินที่สร้างรายได้ให้กับ BAM อย่างต่อเนื่อง ลดระยะเวลาการถือครอง และสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว
นอกจากนี้ BAM ยังได้เปิดตัวโครงการ “ทรัพย์มหาชน” สำหรับผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยราคาไม่แพง สามารถผ่อนชำระกับ BAM โดยตรง หรือผ่อนชำระกับสถาบันการเงินพันธมิตรที่ปล่อยสินเชื่อเงื่อนไขพิเศษให้กับลูกค้าที่ซื้อทรัพย์ BAM ซึ่งหลังจากเปิดตัวโครงการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 สามารถทำยอดขายได้แล้วถึง 302 ล้านบาท และภายในเดือนธันวาคมปีนี้ คาดว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 500 ล้านบาท ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวไม่เพียงช่วยให้ BAM ยืนหยัดได้ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง แต่ยังแปรเปลี่ยนวิกฤตให้กลายเป็นโอกาสที่จะสร้างการเติบโตให้กับ BAM พร้อมนำไปสู่เป้าหมายผลเรียกเก็บตามที่ตั้งไว้ 17,800 ล้านบาท โดยปัจจุบัน BAM มี NPL ที่อยู่ในความดูแล 90,150 ราย คิดเป็นภาระหนี้ 491,912 ล้านบาท และ NPA จำนวน 28,287 รายการ คิดเป็นราคาประเมิน 78,569 ล้านบาท
ดร.รักษ์ กล่าวว่า เพื่อเป็นการยกระดับการเติบโตอย่างแข็งแกร่งขององค์กรในท่ามกลางการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ได้ดำเนินการใน 3 ด้านที่สำคัญ ประกอบด้วย การพัฒนา Business Model แบบคิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายของธุรกิจในอนาคต การปรับปรุงกระบวนการทำงานภายในให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ลดต้นทุน เพิ่มความคล่องตัว เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง และการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ผ่านแผนแม่บท HR Master Plan รวมถึงการปรับโครงสร้างองค์กร ให้สอดคล้องกับการบริหารจัดการองค์กรยุคใหม่ ซึ่งการขับเคลื่อนเชิงรุกในทุกมิติครั้งนี้ จะเป็นรากฐานสำคัญที่วาดภาพอนาคตของ BAM ในการก้าวสู่การเป็น “BAM X” อย่างยั่งยืน
ในช่วงที่ผ่านมา BAM ยังได้เปิดตัวแอปพลิเคชัน BAM Choice ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการบริหารจัดการชีวิตทางการเงินอย่างครบวงจร ตั้งแต่การช่วยลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ การติดตามสถานะ ไปจนถึงการค้นหาทรัพย์ NPA ของ BAM ทั้งบ้าน ที่ดิน และคอนโด ได้ทุกทำเล ทั่วประเทศ ทุกอย่างถูกรวมไว้ในแอปเดียว ทำให้เรื่องที่เคยเป็นภาระและซับซ้อน กลายเป็นเรื่องง่าย เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส
———————————————————————————————————————————————————–

