HoonSmart.com>>บล.กสิกรไทยให้แนวรับ 1,285 และ 1,260 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,320 และ 1,330 จุด ติดตามกำไรบจ. สถานการณ์ชัตดาวน์ในสหรัฐฯ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ทางด้านค่าเงินบาทสัปดาห์หน้า ธนาคารกสิกรไทยให้กรอบแถว 32.10-32.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ
บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยมองหุ้นสัปดาห์ถัดไป (10-14 พ.ย. 2568) ดัชนีหุ้นมีแนวรับที่ 1,285 และ 1,260 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,320 และ 1,330 จุด ตามลำดับ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ผลประกอบการไตรมาส 3/2568 ของบจ.ไทย สถานการณ์ชัตดาวน์ในสหรัฐฯ และทิศทางเงินทุนต่างชาติ
ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนต.ค. ของญี่ปุ่น ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2568 และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ย. ของอังกฤษและยูโรโซน ตลอดจนข้อมูลเศรษฐกิจเดือนต.ค.ของจีน อาทิ ยอดค้าปลีก ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร
ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา SET Index แกว่งตัวในกรอบแคบ ก่อนจะร่วงลงหลุดแนว 1,300 จุดในช่วงกลางสัปดาห์ ท่ามกลางแรงขายจากกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศและบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีจากความกังวลเรื่องผลประกอบการ นอกจากนี้ การปรับตัวลงของตลาดหุ้นยังสอดคล้องกับภาพรวมตลาดหุ้นต่างประเทศท่ามกลางบรรยากาศการลงทุนที่ถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่ในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ประกอบกับสถานการณ์ชัตดาวน์ในสหรัฐฯ ที่ยังคงยืดเยื้อและทำสถิติยาวนานสุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นดีดตัวขึ้นกลับมายืนเหนือ 1,300 จุดได้อีกครั้งในเวลาต่อมา นำโดยหุ้นกลุ่มสื่อสารจากผลประกอบการไตรมาส 3/2568 ที่ออกมาดีกว่าที่คาด และดัชนีหุ้นกลับมาย่อตัวลงอีกครั้งช่วงท้ายสัปดาห์ตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค หลังตลาดกลับมากังวลประเด็นภาวะฟองสบู่ในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐฯ อีกครั้ง ประกอบกับไร้ปัจจัยใหม่ ๆ เข้ามากระตุ้น ทำให้มีแรงขายทำกำไรหุ้นรายตัว นำโดย กลุ่มแบงก์และกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
ในวันศุกร์ที่ 7 พ.ย. 2568 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,302.91 จุด ลดลง 0.50% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 36,224.60 ล้านบาท ลดลง 13.28% ส่วนดัชนี mai ลดลง 0.68% มาปิดที่ระดับ 225.15 จุด
ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาทสัปดาห์ระหว่างวันที่ 10-14 พ.ย. 2568 ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวที่ระดับ 32.10-32.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางค่าเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก สัปดาห์ที่ผ่านมาค่าเงินบาทผันผวน จากอ่อนค่าลงตามทิศทางของสกุลเงินในภูมิภาค แตในช่วงกลาง-ปลายสัปดาห์กลับแข็งค่า หลังจากดอลลาร์อ่อนค่าตามการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ และความไม่แน่นอนในประเด็นความชอบด้วยกฎหมายของปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ ในการเรียกเก็บภาษีศุลกากรจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก (ศาลฎีกาสหรัฐฯ ยังไม่ประกาศคำตัดสินและกระบวนการพิจารณาอาจต้องดำเนินต่อไปในช่วงหลายเดือนข้างหน้า) ขณะที่เงินบาทพลิกแข็งค่ากลับมาตามแรงซื้อสุทธิพันธบัตรไทยของต่างชาติ และการปรับตัวกลับมายืนเหนือระดับ 4,000 ดอลลาร์ฯ ต่อออนซ์ของราคาทองคำในตลาดโลก
ในวันศุกร์ที่ 7 พ.ย. 2568 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 32.32 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 32.34 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (31 ต.ค.)
สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 3-7 พ.ย. 2568 นั้น แม้ขายสุทธิหุ้น 1,265 ล้านบาท แต่มีสถานะอยู่ในฝั่ง Net Inflows เข้าตลาดพันธบัตรไทยถึง 8,227 ล้านบาท (ซื้อสุทธิพันธบัตร 8,232 ล้านบาท หักตราสารหนี้หมดอายุ 5 ล้านบาท)
