ดาวโจนส์ปิดร่วง 464 จุด ต่ำสุดรอบ 14 เดือน หลังเฟดขึ้นดอกเบี้ย

ดัชนีดาวโจนส์ปิดต่ำสุดรอบ 14 เดือน หลุด 23,000 จุด หลังเฟดขึ้นดอกเบี้ย ด้านตลาดหุ้นยุโรปร่วง ราคาน้ำมันดิบดิ่ง 5%

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) ปิดตลาดวันที่ 20 ธันวาคม 2561 ที่ 22,859.60 จุด ลดลง 464.06 จุด หรือ 1.99% ลงมาต่ำกว่าระดับ 23,000 จุดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2017 จากความกังวลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ รวมไปถึงความวิตกว่าเฟดอาจจะดำเนินนโยบายการเงินผิดพลาด ด้วยการเดินหน้าจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นต่อเนื่อง

ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,467.42 จุด ลดลง 39.54 จุด,-1.58 % ต่ำสุดตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2017

ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,528.41 จุด ลดลง 108.42 จุด,-1.63 % ลดลง 20% จากระดับสูงสุดที่ทำไว้เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ที่ผ่านมาแต่พ้นจากการตกลงสู่ภาวะขาลง(Bear Market) นับตั้งแต่ The great depression ได้อย่างหวุดหวิด

แถลงการณ์ของเฟดและการแถลงข่าวของประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์ สะท้อนว่าเฟดจะไม่ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยลงเร็วตามที่ตลาดคาดหวัง ประกอบกับเฟดยังคงเดินหน้าปรับลดขนาดงบดุลหลังจากยุติการใช้มาตรการ QE ซึ่งประธานเฟดกล่าวว่า ความเร็วการปรับลดขนาดงบดุลจะยังคงเป็นอัตราเดิมหรือตั้งไว้แบบ auto pilot ซึ่งหมายความว่าแม้เศษฐกิจจะชะลอตัวในปีหน้า ภาวะการเงินจะตึงตัวขึ้นทุกเดือน

เฟดตั้งเป้าปรับลดขนาดงบดุลลง 600 พันล้านดอลลาร์ ที่ผ่านมาเฟดลดขนาดงบดุลไปแล้ว 50 พันล้านดอลลาร์ และในเดือนที่ผ่านมาเฟดมีการซื้อพันธบัตรเพิ่มเพียง 21 พันล้านดอลลาร์เท่านั้น

ขณะเดียวกันตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความขัดแย้งในการจัดทำงบประมาณระหว่างพรรคเดโมแครตกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งขู่ไม่ยอมลงนามในงบประมาณรายจ่ายชั่วคราวที่จะช่วยให้ไม่ต้องมีการปิดหน่วยงานรัฐบางส่วน(shutdown) แม้การ shutdown จะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง แต่ก็แสดงให้เห็นว่ากลไกรัฐบางส่วนไม่ทำงาน ขณะที่เมื่อวันพุธ ที่ 19 ธันวาคม ที่ผ่านมาวุฒิสภาอนุมัติเงินให้กับหลายหน่วยงานเพื่อให้ยังคงทำงานได้ไปจนถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ โดยที่ไม่รวมงบ 5 พันล้านดอลลาร์เพื่อการก่อสร้างกำแพงกั้นพรมแดนเม็กซิโกตามที่ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการ

กระทรวงแรงงานเผยตัวเลขการยื่นขอสวัสดิว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 8,000 รายเป็น 214,000 รายในสัปดาห์ก่อน

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีลดลงต่อเนื่อง โดยหุ้นอเมซอนลดลง 2.3% หุ้นแอปเปิลลดลง 2.5%% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ลดลง 2.3% หุ้นอัลฟาเบทลดลง 1.1%

หุ้นเทสลาลดลง 5% หุ้นเจซีเพนนีลดลง 6% หุ้นทวิตเตอร์ลดลง 11%

หุ้นกลุ่มพลังงานยังคงอ่อนตัวจากราคาน้ำมันดิบที่ดิ่งลงอีกไปที่ระดับต่ำสุดรอบ 17 เดือน โดยหุ้นเชฟ

รอนลดลง 2.6% หุ้นเอ็กซอนโมบิลดลง 3% หุ้นเดวอนเอ็นเนอร์จี้ลดลง 5.6%

ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบแตะระดับต่ำสุดรอบ 2 ปี

ตลาดยุโรปปิดลบแรงลงไปที่ระดับต่ำสุดรอบ 2 ปีหลังจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) 0.25% เมื่อวันก่อน โดยแรงเทขายกระจายไปทั่วทุกกลุ่ม แม้ธนาคารกลางอังกฤษจะคงอัตราดอกเบี้ย ขณะเดียวกันนักลงทุนยังกังวลต่อความไม่แน่นอนของการถอนตัวจากสหภาพยุโรปของอังกฤษที่จะเกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึง 100 วัน

หุ้นกลุ่มทรัพยากรลดลงหลังจากกระทรวงการคลังสหรัฐประกาศจะยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรที่ใช้กับ Rusalผู้ผลิตอลูมิเนียมรายใหญ่ หุ้น Antofagasta, หุ้น Boliden หุ้น Aecelor Mittal ต่างลดลงมากกว่า 3.5%

หุ้นกลุ่มรถยนต์ กลุ่มธนาคาร กลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มสายการบินลดลงมากกว่า 2% ขณะที่กลุ่มค้าหลีกลดลงมาที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2014 โดยหุ้น Next หุ้นDufry ลดลงมากกว่า 3%

หุ้น Airbus ลดลง 9% จากรายงานข่าวว่าบริษัทกำลังถูกกระทรวงยุติธรรมสหรัฐสอบสวนจากกรณีการปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสม

ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 6,711.93 จุด ลดลง 54.01 จุด,-0.80%

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 336.58 จุด ลดลง 4.94 จุด,-1.45% ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2016

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,692.46 จุด ลดลง 84.99 จุด,-1.78%

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,611.10 จุด ลดลง 155.11 จุด,-1.44%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ลดลง 2.29 ดอลลาร์หรือ 4.8% ปิดที่ 45.88 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 17 เดือนนับจากเดือนกรกฎาคม 2017 ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ลดลง 2.89 ดอลลาร์หรือ 5.1% ปิดที่ 54.35 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลล์ ต่ำสุดนับจากเดือนกันยายน 2017