HoonSmart.com>>ตลท.ทำใจหลังใช้เกณฑ์คัดคุณภาพบจ.เข้าจดทะเบียนใหม่ อาจทำให้จำนวน IPO ปี’69 ลดลง ย้ำราคาเปิดวันแรกต่ำกว่าจองเป็นเรื่องกลไกตลาด การกำหนดราคาขายอิงมาตรฐานโลก นักลงทุนต้องศึกษาข้อมูลรอบด้าน
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า เกณฑ์การรับบริษัทจดทะเบียนใหม่จะเริ่มใช้ในปี 2569 อาจจะทำให้บริษัทต่างๆ เข้ามาระะดมทุนในตลาดทุนได้ยากขึ้น และอาจส่งผลต่อจำนวนบริษัทที่จะเข้ามาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไป( IPO) ลดลงได้
ทั้งนี้ เพื่อยกระดับคุณภาพบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยให้น่าดึงดูดมากขึ้น
“เกณฑ์ใหม่ที่กำลังพัฒนา จะทำให้การเข้าตลาดทุนมีความเข้มงวดมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้จำนวน IPO ลดลงในช่วงแรก แต่เป้าหมายคือการยกระดับคุณภาพของบริษัทที่เข้าตลาด”นายอัสสเดช กล่าว

นายอัสสเดช กล่าวว่า การเสนอขายหุ้น IPO ถือเป็นหนึ่งในโอกาสสำคัญสำหรับธุรกิจที่ต้องการระดมทุนเพื่อขยายกิจการ โดยในช่วงที่ผ่านมาของปี 2568 การตัดสินใจลงทุนของหลายธุรกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลง เนื่องจากความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอก เช่น ความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า และสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลให้หลายบริษัทต้องรอดูความชัดเจนก่อนตัดสินใจลงทุนจริง
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นในหลายด้าน ทำให้เชื่อว่าการตัดสินใจลงทุนจะกลับมาอีกครั้ง และตลาดทุนจะมีบทบาทสำคัญในการเป็นทางเลือกสำหรับการระดมทุนของธุรกิจต่าง ๆ โดยทีมงานของตลาดหลักทรัพย์เริ่มมีการพูดคุยและพิจารณาไฟเขียวให้กับบริษัทที่ต้องการเข้าจดทะเบียนมากขึ้น
ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังมีบริษัท IPO อีก 1-2 แห่งที่จะเข้าตลาด
สำหรับ ปี 2568 จะมีการทบทวนถึงสาเหตุของการเข้าระดมทุนผ่าน IPO ลดลงว่าเกิดจากอะไร เช่น รายได้ที่ไม่เข้าเป้า ราคาหุ้นที่ไม่จูงใจ หรือขาดบริษัทขนาดใหญ่ที่เข้าตลาด
นายอัสสเดช กล่าวว่า ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจ ก็ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการลงทุน เช่นเดียวกับการตัดสินใจซื้อบ้านหรือรถใหม่ ที่ต้องพิจารณาความเหมาะสมของสถานการณ์และราคา
ส่วนการที่ราคาเปิดวันแรกของหุ้น IPO (15 บริษัท มี 11 บริษัทราคาต่ำกว่าราคาจอง) ส่วนใหญ่ในปีนี้ต่ำกว่าราคาจองซื้อ เป็นเรื่องกลไกตลาด การกำหนดราคาขายหุ้น IPO เป็นการตัดสินใจที่เสรี ที่ยึดหลักมาตรฐานสากลที่ใช้ทั่วโลก โดยตลาดหลักทรัพย์และหน่วยงานกำกับดูแล เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ไม่ได้เข้าไปแทรกแซงการตั้งราคาโดยตรง เพราะการมีบทบาทในเชิงเทคนิคมากเกินไปอาจสร้างความเสี่ยงมากกว่าประโยชน์
ตลาดหลักทรัพย์ฯให้ความสำคัญกับการตรวจสอบการซื้อขายในวันแรกของหุ้น IPO อย่างละเอียด โดยเฉพาะการตรวจสอบพฤติกรรมการส่งคำสั่งซื้อขายที่อาจเกี่ยวโยงกัน เพื่อป้องกันการกระทำที่ไม่เหมาะสมต่อระบบตลาดทุน ซึ่งในบางกรณีที่ผ่านมา มีการดำเนินการทางกฎหมายร่วมกับ ก.ล.ต. แล้ว
เป้าหมายของทุกหน่วยงานคือการทำให้กระบวนการตรวจสอบรวดเร็วขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดพฤติกรรมที่บั่นทอนความเชื่อมั่นในตลาดทุน
ขณะที่นักลงทุน ควรพิจารณาปัจจัยพื้นฐานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ของหุ้น IPO ในระยะยาวประกอบด้วย นอกเหนือจากราคา และ P/E
นายอัสสเดช กล่าวว่า ปี 2569 จะมีเรื่องของความร่วมมือรหว่างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) หรือ BOI to SET เพื่อออกแบบเกณฑ์ใหม่ที่เอื้อต่อการผลักดันบริษัทที่ได้รับสิทธิประโยชน์จาก BOI ให้สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทต่างชาติในอุตสาหกรรมใหม่ที่เข้ามาลงทุนในไทย
โดยจะมีการประเมินว่าเงื่อนไขใดที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการเข้าตลาดทุน และควรปรับปรุงให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการจริง ไม่ใช่ออกเกณฑ์ที่ไม่มีใครใช้
หนึ่งในประเด็นสำคัญคือระยะเวลาการลงทุนของบริษัท BOI ซึ่งบางรายยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและยังไม่มีกำไร จึงต้องพิจารณาว่าเกณฑ์ปัจจุบันที่เน้นความสามารถในการทำกำไรควรปรับให้ยืดหยุ่นหรือไม่ โดยเฉพาะในกรณีที่บริษัทแม่มีความน่าเชื่อถือและศักยภาพสูง
เป้าหมายของการออกเกณฑ์ใหม่ไม่ใช่เพียงเพื่อเปิดทางให้บริษัทเข้าตลาดได้ง่ายขึ้นเท่านั้น แต่ต้องสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมการลงทุนและการรักษาคุณภาพของบริษัทจดทะเบียน เพื่อให้ตลาดทุนไทยยังคงเป็นแหล่งระดมทุนที่มีมาตรฐาน
แนวทางการผลักดันบริษัทที่ได้สิทธิภาษีจาก BOI เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดว่าจะเห็นผลต้นปี 2569 จะเริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะจากบริษัทที่อยู่ระหว่างการเตรียมตัวและมีแผนสื่อสารกับนักลงทุนเกี่ยวกับโอกาสในอนาคต
นอกจากนี้ โครงการ Jump+ ปัจจุบันมีบริษัทที่เข้าร่วมแล้วกว่า 84 ราย ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกว่าภาคธุรกิจให้ความสนใจในการใช้ตลาดทุนเป็นเครื่องมือในการเติบโต จะมีการนำเสนอข้อมูลแก่นักลงทุนช่วงกลางปี 2569
“ทั้ง 2 โครงการน่าจะช่วยกระตุ้นบรรยากาศการลงทุนในตลาดทุนไทยปีหน้าได้ส่วนหนึ่ง นอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจ และปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนที่มีอยู่”นายอัสสเดช กล่าว
