HoonSmart.com>>ตลท.ลดความกังวลตลาดทุนปลายปี’68 พื้นฐานเศรษฐกิจแกร่ง มาตรการรัฐกระตุ้นเต็มกำลัง ราคาหุ้นยังไม่แพงเกินไป แรงซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีไหลเข้า ยอดขายต่างชาติเริ่มบาง ยังมีหุ้น IPO อีก 1 บริษัท แนะจับตา 2 คลื่นยักษ์โลกจุดเปลี่ยนบรรยากาศลงทุน ด้านเดือนต.ค. SET Index ปิดที่ 1,309.50 จุด เพิ่มขึ้น 2.8% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คาดว่าภาวะตลาดหุ้นในช่วงที่เหลือของปียังมีแนวโน้มที่ดี ตามปัจจัยพื้นฐานของประเทศที่มีภาพออกมาในเชิงบวก หลังจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มีการปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย(GDP) เพิ่มขึ้นเป็น 3.2 % จากเดิม 2.8% และกระทรวงการคลังก็มีการปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้น เป็น 2% จากเดิม 1.8%
ด้านหนี้ครัวเรือน กระทรวงการคลัง ก็มีมาตรการจัดการหนี้เสียที่ชัดเจนออกมาช่วยผ่านธนาคารพาณิชย์
หนี้สาธารณะ ยังไม่วิกฤติ แต่ก็เป็นประเด็นที่กระทรวงการคลังต้องบริหารจัดการอย่างรอบคอบ โดยหนี้หลายส่วนเป็นของรัฐวิสาหกิจที่สามารถบริหารเองได้ และอีกส่วนอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลัง
ขณะเดียวกัน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทย เช่น โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ที่มีงบประมาณรวม 80,000 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้การบริโภคในประเทศคึกคักขึ้น,การท่องเที่ยวเมืองรองและร้านอาหารที่เริ่มกลับมาคึกคักสะท้อนว่า ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เริ่มคลี่คลาย
ในมุมของตลาดทุนโดยเฉพาะนั้น ยังมีปัจจัยบวกจากการที่เป็นช่วง 2 เดือนที่เหลือในการใช้สิทธิ์ภาษีจากการลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF) เข้ามาหนุนตลาด ขณะที่แรงขายของกองทุน LTF ได้หยุดไปแล้วตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา

ราคาสินทรัพย์ในตลาดทุนไทย หรือราคาหุ้นยังไม่สูงเกินไป (ไม่ Over Price) เมื่อเทียบกับภูมิภาค
ด้านภาคธนาคารมีความแข็งแกร่งและมีการจ่ายเงินปันผลในระดับสูงขึ้น
ประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ของ SET Index ในบางกลุ่ม เช่น พาณิชย์ วัสดุก่อสร้าง และกลุ่มธนาคาร มีแนวโน้มดีขึ้น
สำหรับช่วงที่เหลือของปี ยังมีหุ้น IPO อีก 1 บริษัท ช่วยกระตุ้นบรรยากาศการลงทุนและลดแรงกดดันจากความผันผวนทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังได้ไปเจรจากับทางกระทรวงพาณิชย์เพื่ออำนวยความสะดวกในการส่งข้อมูลผ่านระบบ Proxy สำหรับบริษัทจำกัด รวมถึงโครงการ “BOI to IPO” ที่มุ่งดึงบริษัทที่มีนวัตกรรมใหม่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งช่วยสร้างความคึกคักและดึงดูดเม็ดเงินลงทุนในช่วงปลายปี
ฟันด์โฟลว์จากต่างชาติจะยังไม่ไหลเข้ามาอย่างชัดเจน แต่เมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นในภูมิภาค ตลาดทุนไทยยังคงรักษาเสถียรภาพได้ดี และมีแนวโน้มที่ดี โดยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีส่วนในการไหลเข้าของฟันด์โฟลว์ เพราะ 50% ของมูลค่าการซื้อขายเป็นของนักลงทุนต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม ยังมี 2 คลื่นยักษ์โลกที่ต้องติดตามว่าจะกระทบตลาดทุนมากน้อยแค่ไหน คือ
1.อัตราภาษีการค้าของสหรัฐอเมริกา และ 2.การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่นักลงทุนมีความกังวลว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกครั้งหรือไม่ในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ หลังจากการประชุมครั้งก่อนมีเสียงแตกในคณะกรรมการ และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ชัดเจนจากผลกระทบของการชัตดาวน์หน่วยงานรัฐ ทำให้ข้อมูลสำคัญ เช่น ตัวเลขแรงงานและเงินเฟ้อ ไม่สามารถนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจได้อย่างครบถ้วน ซึ่งอาจนำไปสู่การไม่ลดดอกเบี้ย แม้ว่าความกังวลเรื่องความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯกับจีนจะลดลง แต่ก็ยังต้องจับตาใกล้ชิด
ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทยเดือนตุลาคม 2568
SET Index ปิดที่ 1,309.50 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.8% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า ทำให้ตั้งแต่ต้นปี SET Index ปรับตัวลดลง 6.5% โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี และ กลุ่มการเงิน
มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 39,473 ล้านบาท (ลดลง 27.9% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน) ส่งผลให้ในช่วง 10 เดือนแรกของปี มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมอยู่ที่ 42,659 ล้านบาท
ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 4,496 ล้านบาท ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนตุลาคม 2568 ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 100,739 ล้านบาท
ผู้ลงทุนต่างประเทศยังคงมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ระดับ 51.81% ของมูลค่าการซื้อขายรวม ตามด้วยผู้ลงทุนรายย่อยในประเทศ 31.80% ผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ 9.77% และบริษัทหลักทรัพย์ 6.62%
เดือนตุลาคม 2568 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 3 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. แมสเทค ลิ้งค์ (MASTEC), บมจ.แอตลาส เอ็นเนอยี (ATLAS) และบมจ.ออนเซ็น รีทรีต แอนด์ สปา กรุ๊ป (ONSENS) ขณะที่ใน mai 2 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. อินดิจี (IDG) และ บมจ. 88(ไทยแลนด์) (88TH)
Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ณ สิ้นตุลาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 12.2 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.6 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 16.7 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 17.0 เท่า
อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นตุลาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 3.76% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 2.96%
ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เดือนตุลาคม 2568
มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 406,504 สัญญา ลดลง 11.1% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures ส่งผลให้ ในปี 2568 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 422,081 สัญญา ลดลง 12.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures
