ดาวโจนส์ปิดลบ 251 จุด กังวลมูลค่าหุ้น AI แบงก์ใหญ่เตือตลาดปรับฐาน

HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง 3 ดัชนีหลักปิดลบ ดาวโจนส์ลดลง 251 จุด แรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้น AI นักลงทุนกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่นำการปรับขึ้นรอบนี้ เมื่อประเมินผลประกอบการรายไตรมาสล่าสุด ผสมคำเตือนจากซีอีโอชั้นนำว่าตลาดอาจปรับฐาน ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” ปรับตัวลดลง “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 สัปดาห์

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 รวมทั้งดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ปิดในแดนลบ ด้วยแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับมูลค่าของหุ้นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่นำการปรับขึ้นรอบนี้ในขณะที่ประเมินผลประกอบการรายไตรมาสล่าสุด บวกกับได้รับคำเตือนครั้งใหม่จากซีอีโอชั้นนำว่าตลาดอาจจะปรับฐาน

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 47,085.24 จุด ลดลง 251.44 จุด, -0.53%,
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,771.55 จุด ลดลง 80.42 จุด, -1.17%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 23,348.64 จุด ลดลง 486.09 จุด, -2.04%

ตลาดเริ่มกังวลว่าบริษัทต่างๆ มีผลประกอบการไม่ดีพอที่จะรองรับมูลค่าตลาดที่สูงมาก ซึ่งยังส่งผลให้ซีอีโอธนาคารขนาดใหญ่ส่งสัญญาณว่าอาจจะมีการปรับฐาน

หุ้น Palantir ร่วงลงประมาณ 8% แม้ว่าบริษัทซอฟต์แวร์รายนี้จะทำกำไรไตรมาสที่สาม ได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ และคาดการณ์แนวโน้มที่แข็งแกร่ง ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของธุรกิจ AI ขณะที่นักวิเคราะห์ตั้งคำถามถึง P/E ที่สูง ความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนของการวิ่งขึ้นจากปัจจัยด้านเทคโนโลยีในปีนี้เริ่มมีมากขึ้น แม้ว่าผลประกอบการจะแข็งแกร่งก็ตาม

หุ้น Oracle ซึ่งมี forward P/E สูงกว่า 33 ลดลงเกือบ 4% ส่งผลให้การปรับขึ้นในปีนี้ลดลงเกือบ 50% ในปีนี้ ส่วน AMD ผู้ผลิตชิป ซึ่งปรับขึ้นมากกว่า 2เท่าในปีนี้ ลดลงเกือบ 4% หุ้น AI อื่นๆ เช่น Nvidia และ Amazon ก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน

การปรับขึ้นของหุ้น AI ผลักดันให้ forward P/E ของดัชนี S&P 500 สูงกว่า 23 ซึ่งใกล้ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2000 ตามข้อมูลของ FactSet ขณะที่หุ้นเหล่านี้ได้หนุนตลาดหุ้นโดยรวมขึ้นสู่ ระดับสูงสุดใหม่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

แอนโทนี แซกลิมบีน จาก Ameriprise กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า หากไม่มีการย่อตัวลง มูลค่าหุ้นจะเริ่มสูงเกินไป(stretched valuation) และไม่เห็นการปรับฐานครั้งใหญ่หรือมีแรงกดดันต่อหุ้นเลยนับตั้งแต่เดือนเมษายน ผลประกอบการถือว่าดี แต่นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามเมื่อพิจารณาจากการเร่งลงทุนของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เหล่านี้ว่า จะเห็นการเติบโตของกำไรในปีหน้าเพียงพอที่จะคุ้มค่ากับการลงทุนในระดับนี้หรือไม่

ความคิดเห็นของซีอีโอของ Goldman Sachs และ Morgan Stanley ยิ่งตอกย้ำความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุน เดวิด โซโลมอน จาก Goldman Sachs กล่าวว่า มีแนวโน้มว่าตลาดหุ้นจะปรับตัวลดลง 10 ถึง 20% ในช่วง 12 ถึง 24 เดือนข้างหน้า ด้าน เท็ด พิค ซีอีโอของ Morgan Stanley กล่าวว่า ตลาดควรเตรียมรับกับความเป็นไปได้ที่จะราคาหุ้นจะลดลง 10 ถึง 15% ซึ่งไม่ได้เกิดจากผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจมหภาค

นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์การปิดทำการของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เข้าสู่วันที่ 35 ซึ่งถือเป็นการปิดทำการที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ การหยุดทำการครั้งนี้ยังคงทำให้การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญต่อธนาคารกลางสหรัฐฯ และตลาดหุ้นล่าช้าออกไป ซึ่งรวมถึงรายงานการจ้างงานที่จะมีกำหนดเผยแพร่ในสัปดาห์นี้

แอนโทนี แซกลิมบีน จาก Ameriprise กล่าวอีกว่า ตลาดค่อนข้างเงียบเหงาในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา หากโมเมนตัมของ AI หรือเทคโนโลยีชะลอตัวลง หรือในระยะสั้น แล้วไม่มีกลุ่มอื่น ๆ ปรับขึ้นได้ดีเท่า และหากไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับเศรษฐกิจ และความสามารถในการทำกำไรของดัชนี S&P 500 ที่เหลือไม่แข็งแกร่งนัก ตลาดจะไปต่อได้ยาก

สำหรับหุ้นรายตัวอื่นๆ Uber ผู้ให้บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน มีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง แต่ราคาหุ้นร่วงลง 5.06%

หุ้น Tesla ร่วงลงกว่า 5% กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของนอร์เวย์ประกาศว่าจะลงคะแนนเสียงคัดค้านการอนุมัติแพ็คเกจเงินเดือน 1 ล้านล้านดอลลาร์ของ Elon Musk ซีอีโอของ Tesla (ซึ่งถือเป็นการคัดค้านอย่างรุนแรงจากหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัท

ตลาดหุ้นยุโรปปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบกว่าสองสัปดาห์ ในทิศทางเดียวกับการชะลอการลงทุนมากขึ้นในตลาดทั่วโลก ขณะที่นักลงทุนต่างจับตามองผลประกอบการที่หลากหลาย

ตลาดหุ้นหลักในภูมิภาคส่วนใหญ่อยู่ในแดนลบ ยกเว้นดัชนี FTSE 100 ของสหราชอาณาจักรและดัชนีอ้างอิงของอิตาลี ซึ่งขยับขึ้นเพียง 0.1%

ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 570.58 จุด ลดลง 1.70 จุด, -0.30%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,714.96 จุด เพิ่มขึ้น 13.59 จุด, +0.14%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,067.53 จุด ลดลง 42.26 จุด, -0.52%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,949.11 จุด ลดลง 183.30 จุด, -0.76%

แรงซื้อหุ้นที่นำโดยกลุ่มเทคโนโลยีเมื่อเร็วๆ นี้เริ่มชะลอลง และธนาคารชั้นนำในสหรัฐฯเตือนว่าตลาดหุ้นอาจกำลังเผชิญกับการปรับฐานประมาณ 10% ถึง 15% ตอกย้ำความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับมูลค่าที่พุ่งสูง

ริชาร์ด แฟลกซ์ ซีไอโอจาก Moneyfarm.ความกังวลต่อตลาดสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในวงกว้าง แต่ตลาดยุโรปตอบสนองด้วยความกังวลต่อความเสี่ยงทั่วไป ซี่งไม่ได้เป็นปัจจัยพื้นญานเดียวกับสหรัฐฯ ในยุโรป มูลค่าตลาดไม่ได้สูงเท่ากับอดีต และความกังวลน่าจะเป็นเรื่องของการเติบโตของกำไรโดยรวมมากกว่า

หุ้นกลุ่มทรัพยากรพื้นฐานนำตลาดปรับตัวลดลง 2% ตามราคาทองแดงที่อ่อนตัว ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีลดลงประมาณ 1%

หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์เพิ่มขึ้น 0.8% โดย Coloplast เพิ่มขึ้น 4.8% หลังจากอัตรากำไรไตรมาสที่สี่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ หุ้น Abivax เพิ่มขึ้น 6%

หุ้น BP เพิ่มขึ้น 1.3% หลังจากที่รายงานกำไรที่แท้จริงในไตรมาสที่สามลดลงน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้ให้ข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับกระบวนการขายหน่วยธุรกิจน้ำมันหล่อลื่น Castrol

หุ้น Telefonica ร่วงลง 13.1% หลังจากที่ยักษ์ใหญ่โทรคมนาคมรายนี้ประกาศว่าจะลดเงินปันผลลงครึ่งหนึ่งในปีหน้า

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 49 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 60.56 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 45 เซนต์ หรือ 0.69% ปิดที่ 64.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 
 
 
 
 
———————————————————————————————————————————————————–