ผ่าแผน SET to BOI – BOI to SET ตั้งเป้าใช้ Fast Track ต้นปี’69

HoonSmart.com>>ผ่าแผน“SET to BOI – BOI to SET” ตั้งเป้าเปิดร่างโมเดล Fast Track พร้อมเปิดระบบ One Stop Service กระบวนการเข้าจดทะเบียนใหม่ เสร็จภายในสิ้นปี’68 อย่างช้าต้นปี’69 

นายอำนวย จิรมหาโภคา ผู้ช่วยผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวในงานสัมมนา “BOI to IPO: ตลาดทุนสร้างการเติบโต” หัวข้อ “โอกาสระดมทุนของกิจการ เพื่อพัฒนาศักยภาพในการแข่งขัน”เริ่มต้นด้วยการกล่าวต้อนรับบริษัทเป้าหมายที่สนใจนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมแนะนำห้องประชุม “สุกรี แก้วเจริญ” ที่มีการ ตั้งชื่อตามชื่อผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์คนแรกของประเทศไทยเมื่อกว่า 50 ปีก่อน และยังคงถูกใช้เป็นสถานที่หลัก สำหรับพิธี First Day Trading ของบริษัทจดทะเบียนใหม่ ไม่ว่าจะเป็นใน SET หรือ mai หรือ LiVE โดยในวันที่ 5 พ.ย.นี้จะมีหุ้น “MRDIYT” จากมาเลเซีย ซึ่งมีมูลค่าตลาดกว่า 50,000 ล้านบาท และระดมทุนประมาณ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐเข้ามาเพิ่มอีก 1 บริษัท

สำหรับ ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มีเป้าหมายหลัก 3 ด้านที่จะทำร่วมกัน คือ

1.ปรับปรุงกฎเกณฑ์และกระบวนการ (Regulation & Process) เพื่อให้การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ สะดวกขึ้นและใช้เวลาน้อยลง โดยตั้งเป้าลดระยะเวลาการพิจารณาจาก 5–6 เดือน เหลือเพียง 2–3 เดือนเทียบเท่ามาตรฐานต่างประเทศ พร้อมปรับแนวทางการพิจารณาให้เน้นข้อมูลมากกว่าดุลพินิจ

2. ยกระดับคุณภาพบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะบริษัทที่มีศักยภาพเติบโตต่ำ ให้สามารถขยายกิจการได้อย่างต่อเนื่อง ผ่านการสนับสนุนจาก BOI ทั้งในด้านสิทธิประโยชน์และการเข้าถึงแหล่งทุน

3.การสร้างพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ กับ BOI จะร่วมกันผลักดันโครงการ “G-Plus” เพื่อส่งเสริมให้บริษัทที่ได้รับสิทธิประโยชน์จาก BOI สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รวดเร็วขึ้น พร้อมพัฒนาโมเดล “SET to BOI” และ “BOI to SET” เพื่อให้เกิดการประสานงานแบบวงจรครบสมบูรณ์

นายอำนวย กล่าวว่า ตลท.และ BOI อยู่ระหว่างการหารือเพื่อพัฒนาโมเดล Fast Track สำหรับบริษัทที่ได้รับสิทธิประโยชน์จาก BOI ให้สามารถเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ง่ายขึ้น โดยจะมีการจัดตั้งหน่วยงานประสานงานเฉพาะ เพื่อช่วยเหลือบริษัทในการดำเนินการทั้งสองด้านอย่างเป็นระบบ

ในทางกลับกัน บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็สามารถใช้ช่องทางนี้ในการขอรับสิทธิประโยชน์จาก BOI ได้เช่นกัน โดยมีแนวคิดจัดตั้งระบบ One Stop Service เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ทั้ง SET, BOI และ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) กำลังทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด โดยตั้งเป้าจะเห็นความคืบหน้าเชิงรูปธรรมภายในสิ้นปี 2568 หรืออย่างช้าในต้นปี 2569 ทั้งในด้านการปรับปรุงกฎเกณฑ์ กระบวนการ และสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการ

“นี่คือความตั้งใจร่วมกันของทั้ง 3 หน่วยงาน เพื่อสร้างระบบตลาดทุนที่แข็งแรงและแข่งขันได้ในระดับโลก พร้อมสนับสนุนให้ธุรกิจไทยเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน” นายอำนวย กล่าว

นายอำนวย กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยทั่วไปใช้เวลาเตรียมการอย่างน้อย 2–3 ปี และต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่าย เช่น ที่ปรึกษาทางการเงิน ผู้สอบบัญชี นักกฎหมาย และผู้ตรวจสอบภายใน

พร้อมกับย้ำว่า การเข้าตลาดไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเติบโต บริษัทสามารถใช้สิทธิประโยชน์จากตลาดทุนในการระดมทุนต่อเนื่องผ่านเครื่องมือทางการเงินต่าง ๆ เพื่อรองรับโครงการใหม่และการลงทุนในอนาคตได้

จากเงินส่วนตัวสู่ IPO

บริษัทส่วนใหญ่เริ่มต้นจากการใช้เงินทุนส่วนตัวของผู้ก่อตั้ง จากนั้นจึงขยายด้วยเงินกู้ และเมื่อถึงจุดที่ต้องการเติบโตในระดับมหาชน ก็เข้าสู่การระดมทุนจากประชาชนผ่านการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)

กระบวนการเข้าจดทะเบียนต้องผ่านการพิจารณาจากสองหน่วยงานหลัก ได้แก่ กลต. ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้กำกับดูแลหลักของตลาดทุน และ ตลท.ซึ่งทำหน้าที่เป็นตลาดรองสำหรับการซื้อขายหุ้น

เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่บริษัทที่สนใจเข้าระดมทุน ระบบการพิจารณาคำขอได้ถูกออกแบบให้เป็น One Stop Service โดยบริษัทสามารถยื่นคำขอผ่านระบบออนไลน์เพียงจุดเดียว ข้อมูลจะถูกส่งไปยังทั้ง กลต. และตลท. ซึ่งจะดำเนินการพิจารณาร่วมกัน เมื่อกลต.อนุมัติ ตลท. ก็จะอนุมัติตาม

ตลท.มี  3 แพลตฟอร์มเพื่อรองรับธุรกิจทุกขนาดเข้ามาระดมทุน ตั้งแต่

กระดานตลาด LiVE สำหรับบริษัทขนาดเล็กมากที่เพิ่งเริ่มต้น

กระดานตลาด mai สำหรับ SMEs และ Startup ที่มีศักยภาพเติบโตสูง

กระดานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ที่มีผลประกอบการมีกำไรเติบโตต่อเนื่อง

ทั้ง 3 กระดานมีทีมงานดูแลเฉพาะ เพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างต่อเนื่องผ่านกลไกการระดมทุนและเครื่องมือทางการเงินต่าง ๆ

นายอำนวย กล่าวว่า การเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นเพียง “ก้าวแรก” ของการเติบโต โดยบริษัทสามารถใช้กลไกตลาดทุนในการระดมทุนต่อเนื่อง ขยายกิจการ และสร้างความมั่นคงในระยะยาว

ยกตัวอย่าง กรณีของโรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) ซึ่งเป็นบริษัทแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อปี 2533–2534 ด้วยมูลค่าตลาดหลักพันล้านบาท ปัจจุบันกลุ่มเซ็นทรัลมีมูลค่าตลาดหลายแสนล้านบาท และขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ทั้งในยุโรปและเอเชีย

อีกตัวอย่างคือ บริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) หรือ โรงพยาบาลกรุงเทพฯ ซึ่งเริ่มต้นด้วยจำนวนเตียงหลักสิบ ปัจจุบันมีเครือข่ายโรงพยาบาลทั่วประเทศและจำนวนเตียงรวมหลายหมื่นเตียง มูลค่าตลาดกว่า 300,000–400,000 ล้านบาท

เช่นเดียวกับ บริษัท ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป (WHA Group) ที่เข้าตลาดเมื่อราว 10 ปีก่อน และเติบโตต่อเนื่องจนกลายเป็นผู้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรายใหญ่ของประเทศ

ภายใต้ระบบกำกับดูแลที่เข้มงวดเพื่อส่งเสริมธรรมาภิบาลและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย แม้จะเป็นภาระในช่วงแรก แต่เปรียบเสมือน “ยาขมที่ทำให้ร่างกายแข็งแรง” ซึ่งช่วยให้บริษัทมีโครงสร้างการบริหารที่โปร่งใสและมีมาตรฐานสากล

การจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถประเมินมูลค่ากิจการได้อย่างแม่นยำผ่านราคาหุ้นที่ซื้อขายในแต่ละวัน ซึ่งเป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้และสามารถใช้ในการเจรจากับพันธมิตร นักลงทุน หรือผู้ถือหุ้นรายใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับธุรกิจครอบครัว การเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วยลดปัญหาการจัดสรรผลประโยชน์ภายในครอบครัว ด้วยโครงสร้างการถือหุ้นที่ชัดเจน การมีที่ปรึกษาทางการเงิน และระบบบัญชีที่โปร่งใส ซึ่งช่วยป้องกันความขัดแย้งและสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาว