กลุ่มเอไอเอ เผยมูลค่าธุรกิจใหม่โต 25% แรงซื้อ”ประกันชีวิต-สุขภาพ”ในเอเชียพุ่ง

HoonSmart.com>>กลุ่มบริษัทเอไอเอ เปิดมูลค่าธุรกิจใหม่ ไตรมาส 3/68 เพิ่มขึ้น 25% ช่องทางตัวแทนทำยอดขายมากสุด ไทย โต 20% ย้ำตลาดประกันชีวิต-สุขภาพ ในเอเชียมาแรง ผลจากประชากรรวยขึ้น สวัสดิการรัฐฯต่ำ 

นายหลี่ หยวน ซยอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทเอไอเอ กล่าวว่า ไตรมาส 3 ปี 2568 กลุ่มเอไอเอ สร้างการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ได้ถึง 25% เป็น 1,476 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นการเติบโต 2 หลักใน 11 จากทั้งหมด 18 ประเทศ จากช่องทางการขายหลัก พรีเมียร์ เอเจนซี่ สร้างการเติบโตในมูลค่าธุรกิจใหม่ได้ถึง 19% คิดเป็นมากกว่า 70% ของมูลค่าธุรกิจใหม่จากทั้งกลุ่มบริษัท ซึ่งมาจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนตัวแทน การสรรหาตัวแทนใหม่ที่เติบโตขึ้น 18% ช่วยสนับสนุนให้จำนวนตัวแทนที่ปฏิบัติงานอยู่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน ช่องทางพันธมิตรได้มีการเติบโตอย่างรวดเร็วของมูลค่าธุรกิจใหม่ถึง 46% โดยได้รับแรงหนุนจากผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมของช่องทางที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) และโบรกเกอร์ในฮ่องกง รวมถึงช่องทางการขายผ่านธนาคาร

ตลาดเอเชียเป็นภูมิภาคที่มีความน่าสนใจมากที่สุดในโลกสำหรับธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ โดยมีปัจจัยสนับสนุนเชิงโครงสร้าง เช่น ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้น ระดับการเข้าถึงประกันที่ยังต่ำ และความครอบคลุมของสวัสดิการสังคมที่จำกัด ซึ่งถือเป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาว

แม้จะมีความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจมหภาคในระยะสั้นก็ตาม แต่กลุ่มเอไอเอ สามารถคว้าโอกาสสำคัญเหล่านี้ ด้วยข้อได้เปรียบในการแข่งขันที่แข็งแกร่งและความหลากหลายของตลาด แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของกลยุทธ์การเติบโต และความสามารถในการดำเนินงานอย่างมีวินัยเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับ บริษัทเอไอเอ ประเทศไทย  ยังคงครองตำแหน่งผู้นำตลาดในไทย โดย VONB เพิ่มขึ้น 20% จากความต้องการผลิตภัณฑ์คุ้มครองและยูนิตลิงค์ พร้อมอัตรากำไร VONB ใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก

ภาพรวม ตลาดอาเซียน เติบโต 15% ขณะที่ตลาดอื่น ๆ อย่างเกาหลีใต้ เวียดนาม และอินเดีย เติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก ชดเชยการชะลอตัวในออสเตรเลียและไต้หวัน โดย Tata AIA Life ในอินเดียยังคงครองอันดับหนึ่งในตลาดประกันชีวิตรายย่อย

เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (ANP) เพิ่มขึ้น 14% เป็น 2,550 ล้านดอลลาร์ ขณะที่อัตรากำไร VONB เพิ่มขึ้น 5.7 จุด เป็น 58.2% จากการปรับพอร์ตผลิตภัณฑ์ อัตรากำไรตาม PVNBP เพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 11% และเบี้ยประกันภัยรับรวม (TWPI) เพิ่มขึ้น 14% เป็น 11,910 ล้านดอลลาร์

กำไรจากการให้บริการตามสัญญาของธุรกิจใหม่ (NB CSM) เพิ่มขึ้นมากกว่า 25% สะท้อนความสามารถในการสร้างรายได้ประจำจากธุรกิจเดิมและธุรกิจใหม่ที่มีกำไรอย่างต่อเนื่อง โดย AIA ยังคงเป้าหมายการเติบโตของกำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษี (OPAT) ต่อหุ้นที่ 9–11% ต่อปี ระหว่างปี 2566–2569

ด้านพอร์ตการลงทุน ณ วันที่ 30 ก.ย. 2568 มีตราสารหนี้อันดับความน่าเชื่อถือเฉลี่ยระดับ A เช่นเดียวกับไตรมาสก่อนหน้า มีการกระจายความเสี่ยงในตราสารเอกชนกว่า 1,700 ราย มูลค่าถือครองเฉลี่ย 40 ล้านดอลลาร์ต่อราย

ตราสารหนี้ที่ต่ำกว่าระดับลงทุนหรือไม่มีการจัดอันดับอยู่ที่ 2% ของพอร์ต คิดเป็น 2.8 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่การตั้งสำรอง ECL ลดลง 118 ล้านดอลลาร์ เหลือ 196 ล้านดอลลาร์ หรือ 0.2% ของพอร์ตทั้งหมด

ในจีนแผ่นดินใหญ่ กลุ่ม AIA มีการลงทุนในตราสารของ LGFVs มูลค่า 1.6 พันล้านดอลลาร์ และในภาคอสังหาริมทรัพย์อีก 0.9 พันล้านดอลลาร์ โดยพอร์ตของ AIA ประเทศจีนมีสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ 80% โดยกว่า 90% เป็นพันธบัตรรัฐบาลและหน่วยงานรัฐ ซึ่งยังคงมีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ A