HoonSmart.com>>ราคาทองคำร่วงต่ำกว่า 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจีนยกเลิกสิทธิ์คืนภาษีมูลค่าเพิ่มแก่ผู้ค้าปลีกบางราย ฉุดความเชื่อมั่นตลาดโลหะมีค่าโลก
ราคาทองคำในตลาดโลกลดลงต่ำกว่า 4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ในวันจันทร์ (3 พ.ย.) หลังรัฐบาลจีนประกาศยกเลิกสิทธิ์ “คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT rebate)” สำหรับผู้ค้าปลีกบางกลุ่มที่ซื้อทองจากตลาด Shanghai Gold Exchange (SGE) และ Shanghai Futures Exchange (SFE) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ในตลาดทองคำรายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ราคาทองคำร่วงลงมากถึง 1% ในการซื้อขายช่วงเช้าที่เอเชีย โดยราคาทองคำสปอตอยู่ที่ 3,984.43 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ณ เวลา 9.10 น. ที่สิงคโปร์ หลังจากสัปดาห์ก่อนลดลงไปแล้วกว่า 2.7% ขณะที่ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (Bloomberg Dollar Spot Index) ทรงตัว
ก่อนหน้านี้ ราคาทองคำพุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงต้นเดือนตุลาคม จากแรงซื้อของนักลงทุนรายย่อยทั่วโลก แต่กลับร่วงลงอย่างรวดเร็วในช่วงสองสัปดาห์สุดท้ายของเดือน อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำยังคงสูงกว่าระดับต้นปีมากกว่า 50% เนื่องจากแรงหนุนจากความต้องการซื้อของธนาคารกลางทั่วโลกและสถานะสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
มาตรการใหม่ของจีน ซึ่งมีผลตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2025 มีสาระสำคัญคือไม่อนุญาตให้ผู้ค้าปลีกบางรายนำภาษีมูลค่าเพิ่มที่จ่ายจากการซื้อทองจากตลาด SGE หรือ SFE มาหักคืนได้อีก ไม่ว่าจะขายทองโดยตรงหรือหลังการแปรรูป ซึ่งหมายความว่าต้นทุนทองคำสำหรับผู้บริโภคจีนจะสูงขึ้น
ตามกฎใหม่ สิทธิ์หักคืนภาษี 13% จะถูกลดเหลือเพียง 6% สำหรับบริษัทที่ไม่ใช่สมาชิกของตลาดทองคำหลักสองแห่งนี้ เช่น โรงงานเครื่องประดับ โรงหลอมทอง และผู้ผลิตทองคำแท่งหรือเหรียญทองเพื่อการลงทุน ซึ่งไม่สามารถเข้าร่วมซื้อขายโดยตรงในตลาดได้ โดยนโยบายนี้จะมีผลใช้ถึงสิ้นปี 2027
ขณะเดียวกัน สมาชิกของ SGE และ SFE ซึ่งรวมถึงธนาคารใหญ่ โรงหลอม และผู้ผลิตที่ได้รับอนุญาต จะยังคงได้รับสิทธิ์ภาษีสำหรับการซื้อขายทองคำในฐานะสินทรัพย์เพื่อการลงทุน
Adrian Ash ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ BullionVault ระบุว่า “แม้ความต้องการทองจากจีนไม่ได้มีบทบาทหลักในตลาดกระทิงรอบนี้ แต่การเปลี่ยนแปลงด้านภาษีในประเทศผู้บริโภคทองรายใหญ่ที่สุดจะกระทบต่อความเชื่อมั่นทั่วโลก ซึ่งอาจเป็นโอกาสให้เทรดเดอร์และนักลงทุนที่รอการปรับฐานเข้าซื้อในราคาต่ำ”
นักวิเคราะห์มองว่า การยกเลิกสิทธิ์คืนภาษีของจีนมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มรายได้ภาครัฐ ท่ามกลางรายได้จากภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอตัวและเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำกว่าคาด แต่ผลลัพธ์คือทำให้ราคาทองคำในประเทศสูงขึ้น กดดันอุปสงค์ของผู้บริโภค โดยเฉพาะในภาคเครื่องประดับและของที่ระลึก
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยพื้นฐานที่สนับสนุนราคาทองคำ เช่น การเข้าซื้อของธนาคารกลางทั่วโลก การคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ยังคงมีอยู่ ทำให้นักวิเคราะห์บางรายยังคงมองว่าราคาทองคำอาจขยับขึ้นแตะระดับ 5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ภายในปีหน้า

