HoonSmart.com>>”ปูนซิเมนต์ไทย” (SCC) มั่นใจ”เอาอยู่”พายุเศรษฐกิจในปี 69 หวังสร้างกระแสเงินสด (EBITDA) มากกว่าปีนี้ที่ 54,000 บาท หนุนจ่ายเงินปันผลที่ดี โชว์ความแข็งแกร่ง ประกาศเดินหน้า 4 กลยุทธ์หลัก บริหารเงินสดและต้นทุนเงิน รวมศูนย์การผลิตลดซ้ำซ้อน หาโอกาสจากภาษีและ FTA ปักธงเวียดนามเป็นดาวเด่นทดแทนไทย เสนอสินค้าดีราคาถูกเจาะตลาดที่เปลี่ยนไป ขายสินทรัพย์ที่ขาดทุนรับกระทบกำไรสุทธิ ดีระยะยาว ด้านธุรกิจปิโตรเคมีมั่นใจดีกว่าปีนี้
นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือ เอสซีจี เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2568 ยังคงมืดมนอยู่ แต่เชื่อว่ารวมทั้งปีนี้จะมีกระแสเงินสด (EBITDA) เข้าเป้าหมายที่วางไว้ 54,000 บาท ส่วนปี 2569 หวังว่าจะได้ทำได้มากกว่า 54,000 ล้านบาท แม้ว่าจะเกิดพายุเศรษฐกิจขึ้นก็ตาม (perfect storm) ด้วยความแข็งแกร่งที่สะสมมานานและพร้อมเดินหน้า 4 กลยุทธ์หลัก เสริมแกร่งธุรกิจ รับมือเศรษฐกิจโลกยืดเยื้อ
“แม้เศรษฐกิจโลกยังเปราะบางและคาดการณ์ยาก เอสซีจีเชื่อมั่นว่ากลยุทธ์การปรับตัวอย่างทันท่วงทีที่ผ่านมาคือ “ภูมิคุ้มกันที่ถูกทาง” เห็นได้ผลการดำเนินงานและ EBITDA ที่แข็งแกร่ง พร้อมเดินหน้า 4 กลยุทธ์หลัก แม้ในระยะสั้นจะส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิบ้าง เช่น การขายทรัพย์ที่ไม่มีกำไรหรือแข่งขันไม่ได้ออกไป แต่จะเกิดผลดีในระยะยาว และไม่มีผลต่อการจ่ายเงินปันผล เนื่องจากบอร์ดให้นโยบายพิจารณาอ้างอิงกระแสเงินสด ไม่ใช่กำไรสุทธิ ที่มีผลกระทบจากการลงบัญชีครั้งเดียว”นายธรรมศักดิ์กล่าว

สำหรับ 4 กลยุทธ์ ได้แก่
กลยุทธ์ที่ 1 : รักษาวินัยทางการเงินต่อเนื่อง บริหารกระแสเงินสดที่มั่นคง ใช้เงินทุนหมุนเวียนอย่างระมัดระวัง เดินหน้าปรับโครงสร้างการดำเนินงานธุรกิจ ลดต้นทุนด้วย AI & Robotics เช่น บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ นำเทคโนโลยีหุ่นยนต์และ AI เข้ามาช่วยตรวจคุณภาพผลิตภัณฑ์ ควบคุมกระบวนการผลิต และบริหารคลังสินค้า ลดต้นทุนได้ถึงกว่า 20% ต่อปี เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ใช้ AI และระบบอัตโนมัติจัดการวัตถุดิบ
กลยุทธ์ที่ 2 : รวมศูนย์การผลิตเพื่อลดความซ้ำซ้อน เน้นเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์ในธุรกิจที่ดำเนินงานในอาเซียน บริหารต้นทุนการผลิตและส่งออก เช่น เอสซีจี สมาร์ท ลีฟวิง ควบรวบไลน์ผลิตกระเบื้องหลังคาคอนกรีตที่จังหวัดลำพูน ลดต้นทุนได้ 10 ล้านบาท/ปี
กลยุทธ์ที่ 3 : รุกตลาดเวียดนาม ฐานการผลิตใหม่เพื่อส่งออกตลาดโลกเวียดนามเติบโตโดดเด่น GDP ขยายตัวกว่า 7% จากมาตรการรัฐและการลงทุนต่อเนื่อง เอื้อต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์–ก่อสร้าง–บริโภค และมีต้นทุนการผลิตแข่งขันได้ทั้งพลังงาน แรงงาน และโลจิสติกส์ เอสซีจีจึงเร่งขยายฐานในเวียดนาม โดยเพิ่มกำลังการผลิตปูนคาร์บอนต่ำ 8,000 ตันต่อวัน เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปยังอเมริกา ออสเตรเลีย และยุโรป พร้อมขยายการผลิตและส่งออกเซรามิกจากเวียดนามสู่ตลาดโลก
ขณะที่โรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ ประเทศเวียดนาม (LSP) ปรับแผนการผลิตเพิ่มสัดส่วนการใช้วัตถุดิบก๊าซโพรเพน ซึ่งมีความสามารถในการแข่งขันในช่วงที่สภาวะราคาวัตถุดิบผันผวน ส่วนโครงการเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนที่โรงงาน LSP ประเทศเวียดนาม (โครงการ LSPE) ยังคงเดินหน้าต่อเนื่องตามแผน คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จ ปลายปี 2570 ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในระยะยาว

กลยุทธ์ที่ 4 : ขยายพอร์ตสินค้า บริการ ราคาคุ้มค่า Smart Value – HVA – กรีน
ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เอสซีจีขยายกลุ่มสินค้าและบริการ Smart Value “คุณภาพดี–ราคาคุ้มค่า” ทั้งกลุ่มสินค้างานโครงสร้างและวัสดุตกแต่ง เช่น ปูนงานโครงสร้างและปูนก่อฉาบ

เอสซีจีเร่งเพิ่มกำลังผลิตสินค้ากรีนและสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products-HVA) อาทิ ปูนคาร์บอนต่ำ อยู่ระหว่างพัฒนาปูนคาร์บอนต่ำรุ่นใหม่ Generation 3 ที่ลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 38% เตรียมปรับกำลังการผลิต 2 ล้านตัน/ปี ภายในปี 2570 ที่จ.สระบุรี 3D Printing Mortar เทคโนโลยีการขึ้นรูปอาคารก่อสร้างที่มีดีไซน์ซับซ้อน ขยายตลาดไปญี่ปุ่น ซาอุดิอาระเบีย และมาเลเซีย ยกระดับ Roof Installation บริการมุงหลังคาครบวงจรเอสซีจี ด้วย Drone AI ตรวจรอยรั่วหลังคาและวิเคราะห์โครงสร้างแบบ 3 มิติ ช่วยให้ซ่อมแซมรวดเร็ว ปลอดภัย และแม่นยำยิ่งขึ้น
“ท่ามกลางมรสุมเศรษฐกิจโลกที่ยังยืดเยื้อ เอสซีจีประเมินว่าความท้าทายจะยังคงต่อเนื่องถึงปี 2569 จากปัจจัยที่ยังไม่คลี่คลาย เช่น การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้น มาตรการกีดกันทางการค้าที่ขยายตัว และค่าเงินบาทที่แข็งกว่าปัจจัยพื้นฐาน บางช่วงแข็งมากถึง 8% กระทบต่อการแข่งขันส่งออก ซึ่งยังคงกดดันการส่งออกและการท่องเที่ยวของไทย แต่เรามั่นใจว่า มาตรการที่ดำเนินมาอย่างเข้มข้นตลอดปีที่ผ่านมานั้นมาถูกทางแล้ว ทั้งการเสริมวินัยทางการเงิน ปรับโครงสร้างธุรกิจ และขยายสู่ตลาดที่มีศักยภาพ ซึ่งเป็นฐานสำคัญให้เอสซีจียืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่ง ” นายธรรมศักดิ์กล่าวปิดท้าย
ทางด้านนายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) กล่าวว่า SCGC ได้แผนธุรกิจในปีหน้าจะมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าปี 2568 และในเร็วๆนี้ จะสามารถประกาศการขายสินทรัพย์ที่ไม่ทำกำไรหรือแข่งขันไม่ได้ อย่างไรก็ตาม กำลังผลิตของปิโตรเคมีใหม่ยังคงเพิ่มขึ้น ในปี 2569-2570 ประมาณ 10 ล้านตันต่อปี ขณะที่กำลังผลิตเดิม ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากนโยบายของหลายประเทศในการดูแล เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ส่วนความต้องการยังคงมีอย่างต่อเนื่อง จากเศรษฐกิจโลกที่มีการเติบโต
อ่านข่าวอื่นๆ : https://hoonsmart.com/archives/384923
