PTTEP กำไร 1.27 หมื่นลบ. Q3 ลดลง 23% งวด 9 เดือนเหลือ 4.27 หมื่นลบ.

HoonSmart.com>>ปตท.สผ. (PTTEP) เปิดกำไรสุทธิไตรมาส 3/68 อยู่ที่ 12,695 ล้านบาท ลดลง 23% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เหตุราคาขายเฉลี่ยลดลงตามราคาตลาด แม้ปริมาณขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายบริหารสูง ฉุดงวด 9 เดือนกำไรเหลือ 42,771 ล้านบาท เร่งเคาะลงทุนหลายโครงการในต่างประเทศ หนุนเติบโตแข็งแกร่ง

บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568 กำไรสุทธิ 12,695.09 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 3.19 บาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 17,864.57 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 4.50 บาท

ส่วนงวด 9 เดือน ปี 2568 กำไรสุทธิ 42,771.32 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 10.77 บาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 60,525.06 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 15.25 บาท

บริษัทฯ ชี้แจงในไตรมาส 3/2568 กำไรสุทธิลดลง 118 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลง 23% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2567 สาเหตุหลักจาก ราคาขายเฉลี่ยที่ลดลง รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการบริหารฯเพิ่มขึ้น แม้ว่าปริมาณขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น

กำไรจากการดำเนินงานปกติสำหรับไตรมาส 3/2568 ลดลง 144 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบไตรมาส 3/2567 สาเหตุหลักจากราคาขายเฉลี่ยที่ลดลงตามราคาตลาด แม้ว่าปริมาณขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นโดยหลักจากโครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เอ 18 และโครงการอาทิตย์ ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้น โดยหลักจากค่าใช้จ่ายทางเทคโนโลยีสารสนเทศที่เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายบริหารจากโครงการใหม่

กำไรจากรายการที่ไม่ใช่การดำเนินงานปกติสำหรับไตรมาส 3/2568 เปลี่ยนแปลง 26 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2567 ที่เป็นผลขาดทุน โดยหลักจากไตรมาสก่อนมีการตัดจำหน่ายสินทรัพย์ของโครงการเม็กซิโก แปลง 29(2.4) บางส่วน

นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า ในไตรมาส 3/68 บริษัทได้ขยายการลงทุนเพิ่มเติม โดยได้เข้าถือหุ้น 50% ในโครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เอ 18 ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติที่มีความสำคัญต่อการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ โดยเป็นแหล่งพลังงานหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้าในบริเวณภาคใต้ของไทย ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติประมาณ 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ส่งเข้าประเทศไทยในอัตรา 300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน หรือประมาณ 6% ของความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย การลงทุนครั้งนี้ สามารถสร้างรายได้ ปริมาณการขาย และปริมาณสำรองปิโตรเลียมให้กับบริษัทได้ทันที

ในทวีปแอฟริกา ปตท.สผ. ได้เสร็จสิ้นการซื้อสัดส่วนการลงทุนในโครงการแอลจีเรีย ทูอัท แล้ว ส่งผลให้ ปตท.สผ. มีสัดส่วนถือหุ้นทางอ้อม 22.1% ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติประมาณ 435 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และสามารถเพิ่มกำลังการผลิตในอนาคตได้ การเข้าร่วมทุนครั้งนี้ สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติและปริมาณสำรองปิโตรเลียมให้กับบริษัทได้ทันทีเช่นกัน

สำหรับในประเทศไทย ปตท.สผ.ประกาศตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายเดินหน้าโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) ที่แหล่งอาทิตย์ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม โดยจะสามารถดักจับและอัดกลับคาร์บอนไดออกไซด์ได้สูงสุด 1 ล้านตันต่อปี คาดว่าจะเริ่มการอัดกลับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ในปี 71

การดำเนินงานดังกล่าว จะไม่กระทบต่อการผลิตก๊าซธรรมชาติของแหล่งอาทิตย์ โครงการ CCS ที่แหล่งอาทิตย์ ยังเป็นการนำร่องและเป็นต้นแบบที่สำคัญในการพัฒนาโครงการ CCS ในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศไทยในอนาคต รวมถึงธุรกิจ CCS ในบริเวณอ่าวไทยตอนบน (Eastern Thailand CCS Hub) อีกด้วย

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการสร้างองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการศึกษาวิจัย พัฒนา และประยุกต์ใช้เทคโนโลยี CCS ในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศไทย ปตท.สผ. ได้ร่วมมือกับกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ มอบทุนสนับสนุนโครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาด้าน CCS ในประเทศไทย ให้กับ 9 โครงการ จากสถาบันวิจัยและสถาบันการศึกษาชั้นนำ 7 แห่ง ครอบคลุมด้านต่าง ๆ ตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value chain) ของกิจกรรม CCS อย่างครบวงจร นับได้ว่าเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ในการพัฒนาองค์ความรู้ด้าน CCS ให้กับประเทศ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศ

“แผนการดำเนินงานต่อจากนี้ ปตท.สผ. จะเร่งการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายหลายโครงการในต่างประเทศ เช่น โครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ ระยะที่สอง โครงการอาบูดาบี ออฟชอร์ 2 ในแหล่ง Waset รวมถึงโครงการสำรวจที่มีการค้นพบปิโตรเลียมแล้วในประเทศมาเลเซีย ซึ่งโครงการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มปริมาณการผลิตให้กับบริษัทในระยะยาว เพื่อสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป”

สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 68 มีรายได้รวม 220,503 ล้านบาท (เทียบเท่า 6,659 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) มีปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยอยู่ที่ 499,925 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 67 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากโครงการในประเทศไทย เช่น โครงการ G1/61 ที่เพิ่มอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติในเดือนมีนาคม 2567 และโครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เอ 18 ที่บริษัทเข้าร่วมลงทุนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2568

ในขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก มาอยู่ที่ 44.27 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 42,761 ล้านบาท (เทียบเท่า 1,288 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)

ในรอบ 9 เดือนของปี 68 ปตท.สผ. ได้นำส่งรายได้ให้กับรัฐในรูปของภาษีเงินได้ ค่าภาคหลวง และส่วนแบ่งผลประโยชน์อื่น ๆ จำนวนกว่า 43,700 ล้านบาท เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ เช่น การพัฒนาชุมชน การศึกษา และการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐยังได้รับส่วนแบ่งของผลผลิตปิโตรเลียมจากโครงการ G1/61 และ G2/61 ซึ่งอยู่ภายใต้สัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) เป็นรายได้ทางตรงจากการผลิตปิโตรเลียมที่รัฐนำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศอีกส่วนหนึ่งด้วย

สำหรับแนวโน้มไตรมาส 4 ปี 2568 ตลาดน้ำมันคาดว่าจะเผชิญแรงกดดันจากภาวะอุปทานส่วนเกินอย่างต่อเนื่อง จากแผนขยายกำลังการผลิตของ OPEC+ และผู้ผลิตนอกกลุ่ม ขณะที่อุปสงค์น้ำมันมีแนวโน้มชะลอตัวหลังสิ้นสุดฤดูกาลท่องเที่ยว และเศรษฐกิจหลักทั่วโลกยังเติบโตในอัตราต่ำ อย่างไรก็ดี ความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย–ยูเครน และสถานการณ์ในตะวันออกกลางยังเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาน้ำมันในบางช่วงเวลา

ทั้งนี้ ปตท.สผ. คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยตลอดทั้งปี 2568 จะอยู่ในช่วง 65–75 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

———————————————————————————————————————————————————–