SCGP กำไร 953 ลบ. Q3 โต 65% ทุ่มเฉียดพันลบ. ซื้อกิจการ MYPAK ในอินโดฯ

HoonSmart.com>>”เอสซีจี แพคเกจจิ้ง” (SCGP) โชว์กำไรไตรมาส 3/68 ที่ 953 ล้านบาท โต 65% ปริมาณขายเพิ่มขึ้น ต้นทุนผลิตลดลง ลุยซื้อหุ้น MYPAK ผลิตบรรจุภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษในประเทศอินโดนีเซีย มูลค่า 956 ล้านบาท รับกลยุทธ์ ขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคในอาเซียน คาดโอนหุ้นจบไตรมาส 4/68

บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568 กำไรสุทธิ 953.23 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.22 บาท เพิ่มขึ้น 65% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 577.34 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.13 บาท

ส่วนงวด 9 เดือน ปี 2568 กำไรสุทธิ 2,862.89 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.67 บาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 3,755.66 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.87 บาท

บริษัทฯ ชี้แจงไตรมาส 3 ปี 2568 มีรายได้จากการขายรวม 30,438 ล้านบาท ลดลง 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีรายได้จากการขายลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อน เป็นผลมาจากราคาขายที่ปรับลดลง ขณะที่ปริมาณการขายสามารถขยายตัวได้เพิ่มขึ้น EBITDA เท่ากับ 4,154 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมี EBITDA margin 14%

“กำไรไตรมาส 3/68 เพิ่มขึ้น 65% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีอัตรากำไรสุทธิ 3% โดยกำไรไตรมาส 3/68 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบหลักที่ปรับตัวลดลง ประกอบกับผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ในประเทศอินโดนีเซีย แต่เมื่อเทียบกำไรไตรมาส 3/68 ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนสอดคล้องกับรายได้จากการขายที่ลดลง ในขณะที่ EBITDA margin ปรับตัวดีขึ้น จากการจัดการต้นทุนด้านพลังงานและสาธารณูปโภคอย่างมีประสิทธิภาพ”

ภาพรวมไตรมาส 3/68 ความต้องการบรรจุภัณฑ์ยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน แม้จะมีความผันผวนในตลาดโลกและตลาดภูมิภาค โดยการเติบโตยังคงปรากฏชัดเจนในกลุ่มประเทศอาเซียนทั้งจากการบริโภคภายในประเทศและภาคการส่งออก โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคประจำวัน เสื้อผ้าและรองเท้า ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการเตรียมสินค้าล่วงหน้าส าหรับเทศกาลสิ้นปี อย่างไรก็ตาม ความต้องการในกลุ่มสินค้าคงทนยังคงชะลอตัว เนื่องจากหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคถูกจำกัด

ส่วนด้านราคายังคงเผชิญแรงกดดันจากแนวโน้มที่อ่อนตัวลงในภูมิภาค โดยเฉพาะในตลาดเยื่อในด้านต้นทุน ราคาวัตถุดิบ โดยเฉพาะวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (Recovered Paper: RCP) ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ประกอบกับค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและสาธารณูปโภคที่ยังคงอยู่ในแนวโน้มที่ปรับลดลง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตโดยรวมลดลง ขณะที่อัตราค่าระวางเรือยังอยู่ในระดับคงที่ตลอดไตรมาสที่ผ่านมา

นอกจากนี้บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาซื้อหุ้นแบบมีเงื่อนไขเพื่อเข้าถือหุ้นสามัญในสัดส่วน 100% ใน PT Prokemas Adhikari Kreasi (MYPAK) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตบรรจุภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษในประเทศอินโดนีเซีย โดยมีมูลค่ากิจการรวมไม่เกิน 455 พันล้านรูเปียห์ หรือประมาณ 956 ล้านบาท โดยจะเป็นการเข้าถือหุ้นเมื่อกระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้นโดย 2 บริษัทใน SCGP ได้แก่ 1) TCG Solutions Pte. Ltd. (TCGS) บริษัทย่อยที่บริษัทกลุ่มสยามบรรจุภัณฑ์ จำกัด (TCG) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง SCGP และ Rengo Company Limited ประเทศญี่ปุ่นที่สัดส่วน 70:30 ตามลำดับ ถือหุ้นทั้งหมด และ 2) บริษัทสยามคราฟท์อุตสาหกรรม จำกัด (SKIC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ SCGP ถือหุ้นทั้งหมด โดย TCGS และ SKIC จะถือหุ้นใน MYPAK ในอัตราส่วน 60:40 ตามลำดับ

โครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการดำเนินการตามกระบวนการเข้าซื้อกิจการ รวมทั้งการดำเนินการตามเงื่อนไขบังคับก่อนการโอนหุ้น ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2568

MYPAK เป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตกล่องกระดาษลูกฟูกชั้นนำในประเทศอินโดนีเซีย โดยมีฐานลูกค้าส่วนใหญ่เป็นบริษัทข้ามชาติและแบรนด์สินค้าชั้นน าในตลาดอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศอินโดนีเซีย ในปี 2567 MYPAK มีรายได้ 846 พันล้านรูเปียห์(ประมาณ 1,777 ล้านบาท) และทรัพย์สิน 1,272 พันล้านรูเปียห์(ประมาณ 2,670 ล้านบาท) โดยมีกำลังการผลิตกล่องกระดาษลูกฟูกคุณภาพสูงอยู่ที่ 144,000 ตันต่อปี ฐานการผลิตของ MYPAK ตั้งอยู่ที่เมือง Bekasi ทางตะวันตกของเกาะชวา ซึ่งใกล้กับฐานการผลิตกระดาษ
บรรจุภัณฑ์ของ PT Fajar Surya Wisesa Tbk. (Fajar) และโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษอื่นๆ ของ SCGP

โครงการดังกล่าวสอดคล้องกับกลยุทธ์การขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคในภูมิภาคอาเซียนของ SCGP โดยการขยายกลุ่มสินค้าจำพวกอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงการเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าและบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง (Cross-selling) โดยอาศัยฐานลูกค้านานาชาติและลูกค้าท้องถิ่นที่แข็งแกร่งของ MYPAK ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีและศักยภาพในการผลิตของ MYPAK จะช่วยผลักดันการผลิตและการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ทำเลที่ตั้งเชิงกลยุทธ์ของ MYPAK ยังเป็นประโยชน์ด้าน Synergy แก่ธุรกิจอื่น ๆ ในปัจจุบันของ SCGP ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพของเครือข่ายการผลิตและการบูรณาการห่วงโซ่อุปทานให้เชื่อมโยงกัน ซึ่งจะช่วยให้ SCGP มีความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น พร้อมทั้งได้ประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจและความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เพิ่ม
สูงขึ้นของประเทศอินโดนีเซีย

ด้านบล.กรุงศรี มอง “Neutral” ต่อกำไรสุทธิไตรมาส 3/68 ของ SCGP(+65% y-y, -6% q-q) ใกล้เคียงเราและตลาดคาด หากตัดรายการพิเศษออก กำไรปกติ 998 ล้านบาท (+48% y-y, +1% q-q) สูงกว่าเราคาด 4% จากมี fx gain ในส่วนของการปรับมูลสินทรัพย์เข้ามา กลบ กำไรขั้นต้นที่ต่ำกว่าคาดเล็กน้อยได้

ในไตรมาส 3/68 ฟื้น y-y (ฐานต่ำ) ตามปริมาณขาย integrated packaing ที่ +5% y-y และต้นทุนกระดาษลดลง ส่วนการทรงตัว q-q ค่าใช้จ่ายบริหารที่ลดลงจากมี fx gain ช่วยชดเชย กำไรขั้นต้นที่ลดลงจากราคาขายได้ (ปริมาณขายทรงตัว q-q)

บล.กรุงศรี คงมุมมองไตรมาส 4/68 กำไรลดลง q-q จากสภาวะการแข่งขันสูงมากขึ้น ฉุดรายได้ และคงคำแนะนำ Reduce✨ คงมุมมอง 2H25-1H26F ยังเผชิญการแข่งขันสูงจาก supply ใหม่ในจีนและอินโดฯ ในขณะที่ราคาหุ้นสะท้อนความคาดหวังการฟื้นตัวไประดับหนึ่งแล้ว

———————————————————————————————————————————————————–