HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นสหรัฐฯทั้ง 3 ดัชนีหลักปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ดาวโจนส์พุ่ง 472 จุด หลังรายงานเงินเฟ้อต่ำกว่าคาด หนุนความหวังเฟดลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อ ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” ปรับตัวลดลง ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 24ตุลาคม 2568 รวมทั้งดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากการรายงานข้อมูลเงินเฟ้อที่ชะลอตัวทำให้บรรดานักลงทุนมีความหวังมากขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะยังสามารถคงแนวทางการลดอัตราดอกเบี้ยต่อไปได้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 47,207.12 จุด เพิ่มขึ้น 472.51 จุด, +1.01% และปิดตลาดเหนือระดับ 47,000 จุดเป็นครั้งแรก
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,791.69 จุด เพิ่มขึ้น 53.25 จุด, +0.79%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 23,204.87 จุด เพิ่มขึ้น 263.07 จุด, +1.15%
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ต่างเพิ่มขึ้นราว 2% และตั้งแต่ต้นปีดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 15% ส่วนดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 20%
รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI) เดือนกันยายน ซึ่งล่าช้ากว่ากำหนดเนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ ปิดทำการ เพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบรายเดือน ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อรายปีอยู่ที่ 3% ตามข้อมูลของสำนักงานสถิติแรงงาน ซึ่งต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์สำรวจโดยดาวโจนส์คาดการณ์ไว้ที่ 0.4% และ 3.1% ตามลำดับเล็กน้อย ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบรายเดือน และเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งต่ำกว่าที่ดาวโจนส์คาดการณ์ไว้ที่ 0.3% และ 3.1% ตามลำดับ
หลังจากการรายงานข้อมูลดัชนี CPI นักลงทุนเพิ่มการคาดการณ์ว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมทั้งสองครั้งที่เหลือของปีนี้ โดยตามข้อมูลจากเครื่องมือ FedWatch ของ CME โอกาสที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้นเป็น 98.5% จากเดิมประมาณ 91% ก่อนมีข้อมูล ส่วนโอกาสที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้ายังคงอยู่สูงกว่า 95%
ความหวังที่ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกซึ่งจะช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้หุ้นธนาคารปรับตัวสูงขึ้นในระหว่างวัน โดยหุ้นสำคัญๆ เช่น JPMorgan, Wells Fargo และ Citigroup ต่างเพิ่มขึ้น 2% ส่วนหุ้นอื่นๆ ในกลุ่มการเงิน เช่น Goldman Sachs และ Bank of America ก็ปรับขึ้นเช่นเดียวกัน
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของรัฐบาลส่วนใหญ่ รวมถึงตัวเลขการจ้างงานรายสัปดาห์และรายเดือน ยังคงถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากการปิดทำการ ขณะที่ยังมีการรายงานผลประกอบการต่อเนื่อง
หุ้น Ford พุ่งขึ้น 12.2% หลังประกาศผลกำไรไตรมาส 3 ดีกว่าคาด แต่หุ้น Deckers Outdoor ร่วงลง 15.2% หลังคาดการณ์ยอดขายทั้งปีต่ำกว่าที่คาดไว้
ตลาดส่วนใหญ่มองข้ามการประกาศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ระบุว่าจะยุติการเจรจาการค้ากับแคนาดา เป็นผลจากโฆษณาที่แคนาดาใช้ซึ่งมีอดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน พูดในแง่ลบเกี่ยวกับภาษีศุลกากร
ในสัปดาห์หน้าจะมีรายงานผลประกอบการจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำหลายแห่ง ได้แก่ Meta Platforms, Microsoft, Alphabet, Amazon.com และ Apple จากกลุ่ม Magnificent Seven รวมทั้งจากบริษัทอุตสาหกรรมรายใหญ่
ตลาดหุ้นยุโรปปิดตลาดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้แรงหนุนจากข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ลดลงมากคาด และความหวังว่าความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะคลี่คลายลง ขณะที่นักลงทุนประเมินผลประกอบการของบริษัทต่างๆ มากมาย
ดัชนี STOXX 600ซึ่งครอบคลุมทั่วทั้งทวีป และ ดัชนีหลักๆ ในภูมิภาคส่วนใหญ่ปิดตัวสูงขึ้น โดยดัชนี FTSE 100 ของลอนดอน ปิดตลาดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน
ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 575.76 จุด เพิ่มขึ้น 1.33 จุด, +0.23%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,645.62 จุด เพิ่มขึ้น 67.05 จุด, +0.70%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,225.63 จุด ลดลง 0.15 จุด, -0.002%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,239.89 จุด เพิ่มขึ้น 32.10 จุด, +0.13%
ดัชนี STOXX 600 ปรับขึ้นตลอดสัปดาห์ โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มผู้บริโภค หุ้นกลุ่มพลังงานก็ได้รับแรงหนุนเช่นกัน หลังจากที่สหรัฐฯ ได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรใหม่ต่อซัพพลายเออร์รายใหญ่ของรัสเซียเมื่อวันพฤหัสบดี จากกรณีสงครามระหว่างมอสโกกับยูเครน
ในวันศุกร์ ดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเดือนกันยายน ส่งผลให้คาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังคงเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อไป
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 0.7% โดยหุ้น LIFCO เพิ่มขึ้น 10% หลังจากประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ SAAB บริษัทอุตสาหกรรมป้องกันประเทศเพิ่มขึ้น 6.1% หลังจากปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตของยอดขายทั้งปี
หุ้นใหญ่อื่น ๆกลุ่มหลัก ทั้ง Siemens Energy )และ Schneider ปรับขึ้นเช่นกัน
หุ้นกลุ่มการเงินมีส่วนให้กตลาดปรับขึ้น โดย LSEG Group เพิ่มขึ้นประมาณ 5% หลังจากโบรกเกอร์บางรายปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย หุ้น NatWest เพิ่มขึ้น 4.9% หลังจากที่ธนาคารรายงานกำไรไตรมาสที่สามที่สูงขึ้นและปรับเพิ่มเป้าหมายผลประกอบการประจำปี
หุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคลดลง โดยกลุ่มสินค้าส่วนบุคคลและของใช้ในครัวเรือนได้รับแรงกดดันจากการลดลงเกือบ 4% ของหุ้น Kering หลังจาก HSBC ปรับลดคำแนะนำการลงทุน
ทำเนียบขาวยืนยันเมื่อวันพฤหัสบดีว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ จะพบกับประธานาธิบดีจีนในสัปดาห์หน้าก็ช่วยหนุนความเชื่อมั่น ขณะที่เส้นตายการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มอีก 100% ใกล้เข้ามา
ยอดค้าปลีกของสหราชอาณาจักรในเดือนกันยายนดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ และข้อมูลกิจกรรมทางธุรกิจของยูโรโซนในเดือนตุลาคมก็ไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวัง
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 29 เซนต์ หรือ 0.47% ปิดที่ 61.50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 5 เซนต์ หรือ 0.08% ปิดที่ 65.94 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

