ดาวโจนส์ปิดบวก 144 จุด ทำเนียบขาวยืนยันทรัมป์พบสี จิ้นผิง

HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง 3 ดัชนีหลักปิดบวก ดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 144 จุด ได้แรงหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี นักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นหลังจากผลประกอบการแข็งแกร่งของหลายบริษัท ด้านทำเนียบขาวยืนยันประชุมกับจีนสัปดาห์หน้า “ราคาน้ำมันดิบ” ปิดพุ่ง 5.62% ปิดที่ 61.79 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดบวก

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 23 ตุลาคม 2568 ปิดที่ 46,734.61 จุด เพิ่มขึ้น 144.20 จุด หรือ +0.31% โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี นักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นหลังจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของหลายบริษัท ประกอบกับทำเนียบขาวยืนยันการประชุมกับจีนในสัปดาห์หน้า

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,738.44 จุด เพิ่มขึ้น 39.04 จุด, +0.58%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,941.80 จุด เพิ่มขึ้น 201.40 จุด, +0.89%

ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ได้รับแรงหนุนจากการปรับขึ้นของ Nvidia , Broadcom และ Amazon รวมไปถึงการพุ่งขึ้นเกือบ 3% ของ Oracle ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตปัญญาประดิษฐ์รายใหญ่

ดัชนีเฉลี่ยพุ่งแตะระดับสูงสุดในชั่วโมงซื้อขาย หลังจากที่แคโรไลน์ ลีวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว กล่าวระหว่างการแถลงข่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนในวันพฤหัสบดีหน้าที่เกาหลีใต้ การประกาศดังกล่าวช่วยบรรเทาความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่กดดันตลาดหุ้นเมื่อวันพุธ

ในขณะเดียวกัน วอลล์สตรีทเจอร์นัลรายงานว่า รัฐบาลทรัมป์ได้รับข้อเสนอให้ เข้าซื้อหุ้นในบริษัทควอนตัมคอมพิวติ้งหลายแห่ง ซึ่งถือเป็นความพยายามล่าสุดในการผลักดันให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าถือหุ้นในภาคส่วนสำคัญๆ ราคาหุ้นบริษัทที่เป็นเป้าหมายพุ่งสูงขึ้นจากข่าวนี้ โดย IonQพุ่งขึ้น 7% หุ้นRigetti Computing พุ่งขึ้น 9.8%

นักลงทุนยังคงจับตาผลประกอบการของบริษัทสำคัญๆ ในสหรัฐฯ ซึ่งหลายคนเชื่อว่าอาจเป็นตัวตัดสินหรือกระทบต่อการฟื้นตัวของตลาดกระทิงในรอบนี้

หุ้น Tesla ซึ่งเริ่มต้นของการรายงานผลประกอบการกลุ่ม “Magnificent Seven”บวก 2% ฟื้นตัวจากที่ร่วงลงในช่วงแรกหลังจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายนี้ประกาศผลประกอบการไตรมาสสามที่ทิศทางผสมกัน ส่วนหุ้นของ IBM ลดลงราว 1% เนื่องจากกำไรที่แข็งแกร่งเกินคาดถูกหักล้างด้วยรายได้จากซอฟต์แวร์ที่สอดคล้องกับคาดการณ์ ซึ่งทำให้นักลงทุนผิดหวัง

หุ้น HoneyWell นำการปรับตัวขึ้นของดัชนีดาวโจนส์ โดยเพิ่มขึ้นเกือบ 7% หลังจากบริษัทประกาศผลประกอบการรายไตรมาสที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ และปรับเพิ่มแนวโน้มผลประกอบการทั้งปีขึ้น หุ้น Amercian Airlines เพิ่มขึ้น 6% หลังจากผลขาดทุนไตรมาสที่สามน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ และปรับคาดการณ์แนวโน้มดีขึ้น

หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น โดยหุ้น Exxon Mobil บวก 1.1% และหุ้น Chevron เพิ่มขึ้น 0.6% หลังจากราคาน้ำมัน WTI พุ่งขึ้นกว่า 5% จากรายงานข่าวว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศคว่ำบาตรบริษัท Lukoil และ Rosneft บริษัทผลิตน้ำมันรายใหญ่ของรัสเซีย เพื่อกดดันให้รัสเซียทำข้อตกลงยุติสงครามในยูเครน

นอกเหนือจากผลประกอบการแล้ว คาดว่าข้อมูลเงินเฟ้อที่จะประกาศในวันศุกร์นี้จะให้สัญญาณเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะก่อนการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในช่วงปลายเดือนตุลาคม ตลาดคาดการณ์อย่างกว้างขวางว่าธนาคารกลางหลายแห่ง จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25%

ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก โดยดัชนี STOXX 600 ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นำโดยหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียรอบใหม่ ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังประเมินความแข็งแกร่งของบริษัทต่างๆ ในยุโรปจากรายงานผลประกอบการ

ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 574.43 จุด เพิ่มขึ้น 2.14 จุด, +0.37%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,578.57 จุด เพิ่มขึ้น 63.57 จุด, +0.67%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,225.78 จุด เพิ่มขึ้น 18.91 จุด, +0.23%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,207.79 จุด เพิ่มขึ้น 56.66 จุด, +0.23%

หุ้นพลังงานเพิ่มขึ้น 2.7% และทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่กลางเดือนเมษายน จากราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้น 5% หลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรซัพพลายเออร์รายใหญ่ของรัสเซีย ด้วยสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ทวีความรุนแรงขึ้น

เดวิด อ็อกซ์ลีย์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศและสินค้าโภคภัณฑ์ของ Capital Economics กล่าวว่า โดยพื้นฐานแล้ว การประกาศของสหรัฐฯ คว่ำบาตรบริษัท Rosneft และ Lukoil ของรัสเซีย ถือเป็นการยกระดับการพุ่งเป้าไปที่ภาคพลังงานของรัสเซีย และอาจเป็นปัจจัยใหญ่มากพอที่จะทำให้ตลาดน้ำมันโลกเข้าสู่ภาวะขาดดุลในปีหน้า

ขณะเดียวกัน การรายงานผลประกอบการรายไตรมาสจากบริษัทในยุโรปยังคงออกมาต่อเนื่อง นักลงทุนในตลาดต่างมองหาสัญญาณว่าความไม่แน่นอนทางการค้าส่งผลกระทบต่อผลกำไรของบริษัทหรือไม่

หุ้นกลุ่มสินค้าหรูเพิ่มขึ้น 1.2% โดย Kering พุ่งขึ้น 8.7% หลังจากที่เจ้าของ Gucci ระบุว่ายอดขายในไตรมาสก่อนหน้าลดลงน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและสันทนาการลดลง 2.2% ได้รับผลกระทบจากการคาดการณ์ที่ย่ำแย่ของ Sodexo และผลประกอบการที่น่าผิดหวังของ Evolution โดยหุ้นทั้งสองตัวต่างลดลง 7%

หุ้น STMicroelectronics ถูกระงับการซื้อขายหลายครั้งในช่วงการซื้อขาย ก่อนที่ปิดตลาดลดลง 14.1% เนื่องจากผู้ผลิตชิปคาดการณ์ยอดขายในไตรมาสที่ 4 ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ จากยอดขายรถยนต์ที่อ่อนแอ

หุ้น Dassault Systèmes บริษัทซอฟต์แวร์ของฝรั่งเศสลดล 13% หลังจากที่ปรับลดแนวโน้มการเติบโตของรายได้ทั้งปีลง

หุ้น SAP ผู้ผลิตซอฟต์แวร์รายใหญ่ที่สุดของยุโรป ซื้อขายความผันผวนและปิดตลาดสูงขึ้น 2.2% หลังจากที่ประกาศผลประกอบการที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม บริษัทจากเยอรมนีแห่งนี้คาดการณ์รายได้จากคลาวด์ทั้งปีไว้ที่ระดับล่างของกรอบคาดการณ์

ตลาดหุ้นสวิตเซอร์แลนด์ลดลง 0.4% โดยบริษัทผลิตยา Roche ลดลง 3.2% หลังจากยอดขายยาใหม่สำหรับโรคตาและโรคฮีโมฟีเลียทำให้ตลาดผิดหวัง

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 3.29 ดอลลาร์ หรือ 5.62% ปิดที่ 61.79 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 3.40 ดอลลาร์ หรือ 5.43% ปิดที่ 65.99 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล