ดาวโจนส์ปิดลบ 334 จุด ผิดหวังผลประกอบการ กังวลการค้าสหรัฐฯ-จีน

HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง 3 ดัชนีหลักปิดลบ ดาวโจนส์ปรับตัวลง 334 จุด นักลงทุนกังวลการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนมากขึ้น หลังทำเนียบขาวพิจารณาคุมส่งออกสินค้าที่ใช้ซอฟต์แวร์ของสหรัฐฯไปจีน ตลาดยังผิดหวังผลประกอบการ Texas Instruments , Netflix ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” เพิ่มขึ้น 2% ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดลบ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 22ตุลาคม 2568 ปิดที่ 46,590.41 จุด ลดลง 334.33 จุด หรือ -0.71% เนื่องจากพัฒนาการใหม่จากฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทำให้นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนมากขึ้น บวกกับผิดหวังผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนทั้งของ Texas Instruments และ Netflix

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,699.40 จุด ลดลง 35.95 จุด, -0.53%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,740.40 จุด ลดลง 213.27 จุด, -0.93%

ตลาดหุ้นอยู่ภายใต้แรงกดดันจากรายงานข่าวของสำนักข่าวรอยเตอร์ที่ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ ยืนยันว่าทำเนียบขาวกำลังพิจารณาควบคุมการส่งออกสินค้าที่ใช้ซอฟต์แวร์ของสหรัฐฯ ไปยังจีน

นอกจากนี้ตลาดยังปรับลดลงจากหุ้น Texas Instruments ที่ร่วงลง 5.6% หลังจากบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ประกาศผลประกอบการล่าสุดต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ การคาดการณ์กำไรไตรมาสที่สี่ของบริษัทก็ค่อนข้างอ่อนแอเช่นกัน

ขณะเดียวกันหุ้น Netflix ก็ร่วงลงราว 10% หลังจากผลประกอบการของยักษ์ใหญ่สตรีมมิ่งรายนี้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากข้อพิพาทเรื่องภาษีในบราซิล

การร่วงลงของหุ้นทั้งสองตัวฉุดหุ้นบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ โดย On Semiconductor ลดลงเกือบ 6% หุ้น Advanced Micro Devices ลดลงกว่า 3% หุ้นMicron Technologyลดลงราว 2%

หุ้น Mattel ลดลง 2.76% เนื่องจากยอดขายในอเมริกาเหนือของบริษัทผลิตของเล่นรายนี้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้

นักลงทุนยังรอรายงานผลประกอบการของบริษัทอื่น ๆ โดยเฉพาะ Tesla ที่หลังปิดตลาด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของกลุ่มเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ Magnificent Seven

อย่างไรก็ตามแม้จะผิดหวังผลประกอบการที่รายงานในวันพุธ แต่ บริษัทในดัชนี S&P 500 กว่า 3ใน 4 ที่ประกาศผลประกอบการจนถึงขณะนี้ มีผลดำเนินงานดีเกินคาด ตามข้อมูลของ FactSet

นักลงทุนยังรอรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนกันยายนที่จะออกในวันศุกร์นี้ ซึ่งจะเป็น

ข้อมูลสำคัญสำหรับตลาด ในสถานการณ์ที่ภาวะปิดทำการของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ยังคงยืดเยื้อและไม่มีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการ รายงานอัตราเงินเฟ้อจะช่วยให้ประเมินทิศทางคาดการณ์ล่วงหน้าก่อนการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า ซึ่งนักลงทุนคาดการณ์กันว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25%

ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ หลังจากปรับตัวสูงขึ้นสองวันติดต่อกัน เนื่องจากผลประกอบการที่ซบเซาของบริษัทใหญ่ๆ มากมาย อาทิ L’Oreal บริษัทเครื่องสำอางยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศส และ Hermes ผู้ผลิตกระเป๋าเบอร์กิน ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน

ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 572.29 จุด ลดลง 1.01 จุด, -0.18%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,515.00 จุด เพิ่มขึ้น 88.01 จุด, +0.93%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,206.87 จุด ลดลง 51.99 จุด, -0.63%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,151.13 จุด ลดลง 178.90 จุด, -0.74%

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีลดลงแรงเมื่อเทียบกับดัชนีอ้างอิงของยุโรป โดยลดลง 1.4% ส่วนหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ ได้แก่ ASM International, ASML และ STMicroelectronics ร่วงลงหลังจากรายงานผลประกอบการรายไตรมาสที่น่าผิดหวังจากบริษัท Texas Instruments ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนในสหรัฐฯ

L’Oreal ร่วงลง 6.7% หลังจากที่บริษัทรายงานยอดขายในไตรมาสที่สามต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ และ Hermes ร่วงลง 2.3% หลังจากที่แนวโน้มการฟื้นตัวเล็กน้อยในตลาดสำคัญอย่างจีนยังไม่สามารถดึงดูดนักลงทุนได้

หุ้นทั้งสองตัวส่งผลกระทบต่อกลุ่มสินค้าส่วนบุคคลและครัวเรือน ขณะที่ดัชนีสินค้าฟุ่มเฟือยโดยรวมลดลง 1.2%

หุ้นกลุ่มพลังงานกลับเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนตลาด โดยเพิ่มขึ้น 0.7% ตามราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้น 2%

ดัชนี FTSE 100 ของลอนดอนทำผลงานได้ดีกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ โดยเพิ่มขึ้น 0.9% หลังจาก
ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อของอังกฤษทรงตัวที่ 3.8% ดีกว่าที่คาดในเดือนกันยายน ส่งผลให้มีการคาดหวังมากขึ้นว่าธนาคารกลางอังกฤษจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยก่อนสิ้นปีนี้

หุ้นกลุ่มผู้สร้างบ้านและอสังหาริมทรัพย์ของอังกฤษส่วนใหญ่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุดในดัชนี STOXX 600

นักลงทุนจับตาการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรปในสัปดาห์หน้า หลังจากการประชุมครั้งหลังสุดเมื่อวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา คณะกรรมการ ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 1.26 ดอลลาร์ หรือ 2.2% ปิดที่ 58.50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 1.27 ดอลลาร์ หรือ 2.07% ปิดที่ 62.59 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล