ดาวโจนส์ปิดบวก 218 จุด ผลประกอบการแกร่งหนุน

HoonSmart.com>>ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวก 218 จุด แรงหนุนจากผลการดำเนินงานของ Coca-Cola, General Motors ,3M แข็งแกร่ง ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” WTI ปรับตัวเพิ่มขึ้น 30 เซนต์ ปิดที่ 57.82 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดบวก

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 21ตุลาคม 2568 สร้างสถิติใหม่และใกล้แตะระดับ 47,000 จุด ปิดที่ 46,924.74 จุด เพิ่มขึ้น 218.16 จุด หรือ +0.47% ด้วยแรงหนุนจากผลการดำเนินงานของ Coca-Cola, General Motors และ 3M ที่แข็งแกร่ง

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,735.35 จุด เพิ่มขึ้น 0.22 จุด, +0.003%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,953.67 จุด ลดลง 36.88 จุด, -0.16%

Coca-Cola และ 3M หนุนการปรับขึ้นของดัชนีดาวโจนส์ หลังจากผลประกอบการล่าสุดสูงกว่าที่วอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้ โดยราคาพุ่งขึ้น 4.1% และ 7.7% ตามลำดับ ส่วนหุ้น General Motors ผู้ผลิตรถยนต์จากดีทรอยต์ที่จัดว่าเป็น Old economy พุ่งขึ้น 14.9% หลังจากปรับเพิ่มประมาณการสำหรับทั้งปีและสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมทั้งยังปรับลดประมาณการผลกระทบจากภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์สำหรับปีนี้ลง โดยระบุว่าคาดว่าจะสามารถชดเชยผลกระทบดังกล่าวได้ประมาณ 35%

หลุยส์ นาเวลลิเยร์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Navellier & Associates กล่าวว่า เป็นสัญญาณที่ดีว่าหุ้นข้ามชาติขนาดใหญ่กำลังประกาศผลประกอบการที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ และหมายความว่าฤดูกาลประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 เริ่มต้นได้อย่างแข็งแกร่ง และคาดว่าจะมีผลประกอบการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในช่วงปลายปี

นักลงทุนต่างจับตารายงานผลประกอบการสำคัญที่จะประกาศในสัปดาห์นี้ ซึ่งในวันอังคารจะมีผลประกอบการของ Netflix ผู้ให้บริการสตรีมมิ่งยักษ์ใหญ่ หลังปิดตลาด และTesla ในวันพุธ

ขณะเดียวกัน หุ้นอื่นๆ เช่น Zions Bancorp ธนาคารระดับภูมิภาค เพิ่มขึ้นกว่า 1% หลังจากรายงานผลกำไรไตรมาสที่สามที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน แม้จะมีการเปิดเผยข้อมูลหนี้เสียบางส่วนเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว

ข้อมูลจาก FactSet ระบุว่า บริษัทกว่าสามในสี่ในดัชนี S&P 500 ที่ประกาศผลประกอบการออกมาแล้วนั้น มีผลการดำเนินงานสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ และคาดการณ์ว่าบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่จะมีสัดส่วนกำไรมากที่สุด เนื่องจากตลาด AI ยังคงแข็งแกร่ง โดยบริษัทในกลุ่ม Magnificent Seven คาดว่าจะรายงานการเติบโตของกำไรปีต่อปีที่ 14.9% เทียบกับ 6.7% ของบริษัทที่เหลืออีก 493 บริษัทในดัชนี

ตลาดมองข้ามความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน แม้ทั้งสองประเทศกำลังเตรียมการเพื่อกลับมาเจรจากันอีกครั้ง ทรัมป์ได้ลงนามข้อตกลงแร่ธาตุหายากกับออสเตรเลีย ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่มุ่งเป้าไปที่จีนโดยตรง แต่ประธานาธิบดีกล่าวว่าเขาคาดว่าจะบรรลุ “ข้อตกลงที่เป็นธรรม” ในการพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ที่เกาหลีใต้ในสัปดาห์หน้า

ขณะเดียวกัน ภาวะปิดทำการของรัฐบาลยังคงยืดเยื้อถือเป็นการหยุดทำการของรัฐบาลกลางที่ยาวนานเป็นอันดับสามในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ซึ่งยังไม่มีแผนที่จะยุติการปิดทำการนี้ แม้ว่าแรงกดดันทางเศรษฐกิจจะทวีความรุนแรงขึ้นก็ตาม

อีกทั้งทำให้การให้ความเห็นของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้รับความสนใจมากขึ้น ก่อนการประชุมนโยบายในสัปดาห์หน้า ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% อย่างไรก็ตามข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภคที่จะประกาศในวันศุกร์นี้อาจส่งผลต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางในอนาคต

ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก เนื่องจากนักลงทุนประเมินผลประกอบการของบริษัทที่มีความหลากหลาย ขณะที่หุ้นฝรั่งเศสปิดตลาดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และดัชนีหลักๆ ในภูมิภาคอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็อยู่ในแดนบวกเช่นกัน

ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 573.30 จุด เพิ่มขึ้น 1.20 จุด, +0.21%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,426.99 จุด เพิ่มขึ้น 23.42 จุด, +0.25%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,258.86 จุด เพิ่มขึ้น 52.79 จุด, +0.64%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,330.03 จุด เพิ่มขึ้น 71.23 จุด, +0.29%

หุ้นฝรั่งเศสปรับตัวสูงขึ้นนับตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่นายกรัฐมนตรีเซบาสเตียน เลอกอร์นู รอดพ้นจากการลงมติไม่ไว้วางใจสองครั้ง

บริษัท Edenred ผู้ให้บริการบัตรกำนัลและบัตรสวัสดิการ เพิ่มขึ้น 19.6% หลังจากรายงานยอดขายไตรมาสที่สามสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้

หุ้นอื่นๆ ของฝรั่งเศส รวมถึงกลุ่มสินค้าหรู LVMH และ Hermes ช่วยหนุนดัชนียุโรปโดยรวมให้สูงขึ้น 0.7% หุ้นอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 0.7% โดย Airbus เพิ่มขึ้น 1.8% และ Safran เพิ่มขึ้น 1.7%

หุ้นอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น 1.3% โดยหุ้น Segro กลุ่มคลังสินค้าบวก 2.9% หลังจากรายงานการเซ็นสัญญาเช่าที่แข็งแกร่งในไตรมาสที่ 3

ตามข้อมูลของ LSEG I/B/E/S มีบริษัท 22 แห่งในดัชนี STOXX 600 ได้รายงานผลประกอบการสำหรับไตรมาสที่สามแล้ว โดย 50% ของบริษัทเหล่านี้มีผลประกอบการดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ลดลงมาที่ระดับต่ำสุดของดัชนี STOXX 600 จากราคาทองคำ เงิน และทองแดงปรับตัวลดลง

ขณะเดียวกัน ผู้นำประเทศในยุโรป อาทิ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี ยูเครน และสหภาพยุโรป ได้ออกแถลงการณ์ร่วมเพื่อสนับสนุนยูเครนและความพยายามของทรัมป์ในการยุติการหยยุดยิง

ความเชื่อมั่นของนักลงทุนก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน หลังจากที่ทรัมป์กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่าเขาคาดว่าจะบรรลุข้อตกลงการค้าที่เป็นธรรมกับผู้นำจีน

หุ้น HSBC เพิ่มขึ้น 1.6% หลังจากที่ได้แต่งตั้งเดวิด ลินด์เบิร์ก อดีตผู้บริหารของ NatWest ดำรงตำแหน่งซีอีโอของธุรกิจในสหราชอาณาจักร

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้น 30 เซนต์ หรือ 0.52% ปิดที่ 57.82 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 31 เซนต์ หรือ 0.51% ปิดที่ 61.32 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
 
 
 
 
 
———————————————————————————————————————————————————–