HoonSmart.com>>ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 20 ต.ค. 2568 ปิดที่ 46,706.58 จุด เพิ่มขึ้น 515.97 จุด หรือ +1.12% จากหุ้น Apple นำหุ้นเทคโนโลยีปรับตัวขึ้น ขณะที่นักลงทุนคาดการณ์ว่าสถานการณ์การปิดทำการของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อจะสิ้นสุดลง และเตรียมรับมือกับรายงานผลประกอบการของบริษัทชั้นนำและข้อมูลเงินเฟ้อที่คาดว่าจะเผยแพร่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,735.13 จุด เพิ่มขึ้น 71.12 จุด, +1.07%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,990.54 จุด เพิ่มขึ้น 310.57 จุด, +1.37%
หุ้น Apple ขึ้นนำตลาด โดยเพิ่มขึ้นเกือบ 4% ปิดตลาดทำสถิติสูงสุด หลังจาก Loop Capital ปรับคำแนะนำการลงทุนจาก “ถือ” เป็น”ซื้อ” โดยชี้ให้เห็นถึงความต้องการ iPhone ที่เพิ่มขึ้น
สำหรับหุ้นเทคโนโลนีอื่น หุ้น Meta บวก 2.1% หุ้น Netflix เพิ่มขึ้น 3.2% และหุ้น Alphabet บวก 1.3%
ตลาดมองข้ามความกังวลจากหลายประเด็น และหันมาให้ความสำคัญกับผลประกอบการประจำฤดูกาลแทน ที่คึกคักเป็นพิเศษในสัปดาห์นี้ โดยจะมีรายงานจาก Tesla, Intel, Netflix และ Coca-Cola นักลงทุนหวังว่าผลกำไรจะยังคงแข็งแกร่งต่อไป ซึ่งอาจชดเชยความท้าทาย ในภูมิทัศน์เศรษฐกิจมหภาค
จากการรายงานผลประกอบการประจำสัปดาห์แรก บริษัท 76% จากทั้งหมด 58 แห่งในดัชนี S&P 500 ที่ได้รายงานผลประกอบการออกมาจนถึงตอนนี้ มีผลประกอบการเกินความคาดหมาย โดยสูงกว่าค่าเฉลี่ยสัปดาห์แรกที่ 68% อย่างมาก และสูงกว่าตัวเลข 73% ของไตรมาสที่แล้วเล็กน้อย จากข้อมูลของ Bank of America
นักลงทุนจับตาผลประกอบการไตรมาสที่สามของ Zions Bancorp ธนาคารระดับภูมิภาคที่จะประกาศหลังตลาดปิดทำการ หลังการเปิดเผยข้อมูลสินเชื่อด้อยคุณภาพที่เชื่อมโยงกับการฉ้อโกงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สร้างความวิตกเกี่ยวกับคุณภาพสินเชื่อในสหรัฐฯ
ด้านสงครามการค้าที่สงบลงก็ช่วยหนุนตลาด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสก็อตต์ เบสเซนต์ กล่าวว่าความสัมพันธ์กับปักกิ่งได้ “ผ่อนคลายความตึงเครียด” แล้ว และการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ-จีนจะกลับมาดำเนินต่อในสัปดาห์นี้ที่มาเลเซีย
เมื่อวันอาทิตย์ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ระบุประเด็นสำคัญสำหรับสหรัฐฯ ได้แก่ แร่ธาตุหายาก เฟนทานิล และถั่วเหลือง ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าทำเนียบขาวยังคงผ่อนปรนท่าทีทางการค้า ทำให้เกิดความหวังที่ว่าคำขู่ของทรัมป์ที่จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มอีก 100% ที่กำหนดไว้ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนั้นอาจไม่เกิดขึ้น
นอกจากนี้การให้สัมภาษณ์กับรายการ “Squawk Box” ทางช่อง CNBC เมื่อวันจันทร์ของเควิน แฮสเซ็ตต์ ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ (National Economic Council) ที่ว่า การปิดหน่วยงานรัฐบาลที่เข้าสู่วันที่ 20 มีแนวโน้มที่จะยุติลงในสัปดาห์นี้ ก็ช่วยหนุนตลาดหุ้นเช่นกัน
เขาเชื่อว่าพรรคเดโมแครตสายกลางจะร่วมมือกันในสัปดาห์นี้เพื่อบรรลุข้อตกลง และทำเนียบขาวก็พร้อมที่จะใช้มาตรการที่แข็งขึ้นเพื่อบีบให้ยุติการปิดหน่วยงานรัฐบาล หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในสัปดาห์นี้
เจมี ค็อกซ์ หุ้นส่วนผู้จัดการของแฮร์ริส ไฟแนนเชียล กรุ๊ป กล่าว ตลาดกำลังฟื้นตัวจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และการปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาล ขณะนี้กำลังให้ความสำคัญกับนโยบายการเงินและผลประกอบการมากขึ้น ซึ่งทั้งสองอย่างนี้มีผลกระทบเชิงบวกและส่งผลตามมามากกว่า
การปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาลกลาง มีผลให้การรายงานข้อมูลเงินเฟ้อและการจ้างงาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ ต้องล่าช้า อย่างไรก็ตาม สำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ มีกำหนดจะเผยแพร่ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนกันยายนในวันศุกร์ ซึ่งเลยจากกำหนดเดิมในสัปดาห์ที่แล้ว ข้อมูลดังกล่าวอาจเป็นปัจจัยสำคัญต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด เนื่องจากผู้กำหนดนโยบายกำลังเข้าสู่ช่วงเวลางดให้ความเห็น(silent period) ก่อนการประชุมสองวันในสัปดาห์หน้า
สำหรับหุ้นรายตัวอื่น ๆ หุ้น Alibaba พุ่งขึ้นมากกว่า 4% หลังจากมีรายงานเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ระบบใหม่จากยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีนส่งผลการใช้ GPU ของ Nvidia สำหรับโมเดล AI ลดลงถึง 82%
หุ้น Boeing บวก 1.8% หลังบริษัทได้รับอนุมัติจากสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐฯ (FAA) ให้เพิ่มการผลิตเครื่องบินรุ่น 737 MAX เป็น 42 ลำต่อเดือน
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก เนื่องจากความกังวลเบื้องต้นเกี่ยวกับเสถียรภาพของภาคธนาคารของสหรัฐฯ ผ่อนคลายลง ขณะที่ความเห็นล่าสุดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ช่วยคลี่คลายความตึงเครียดด้านการค้า และทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 572.10 จุด เพิ่มขึ้น 5.86 จุด, +1.03%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,403.57 จุด เพิ่มขึ้น 49.00 จุด, +0.52%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,206.07 จุด เพิ่มขึ้น 31.87 จุด, +0.39%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,258.80 จุด เพิ่มขึ้น 427.81 จุด, +1.80%
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนดัชนี Stoxx 600 โดยเพิ่มขึ้น 1.9% หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันประเทศขึ้นนำ เพิ่มขึ้น 2.8% และฟื้นตัวจากที่ร่วงลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหลังรายงานข่าวเกี่ยวกับการจัดประชุมสุดยอดเกี่ยวกับสงครามในยูเครน
หุ้น Rheinmetall พุ่งขึ้น 5.9% หุ้น Hensoldt พุ่งขึ้น 7.9% และหุ้น Renk พุ่งขึ้น 6.8%
อิเปก ออซคาร์เดสกายา (Ipek Ozkardeskaya) นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสของ Swissquote Bank กล่าวว่า ท้ายที่สุดแล้ว ทรัมป์ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในการยุติสงครามอย่างเป็นรูปธรรมได้ ดังนั้นมุมมองทางบวกจึงไม่มากพอที่จะนำไปสู่การเทขายหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศอย่างต่อเนื่อง
หุ้นกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้น 1% จากหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐฯ ฟื้นตัวขึ้นในช่วงก่อนหน้า หลังจากผลประกอบการรายไตรมาสจากธนาคารภูมิภาค ช่วยบรรเทาความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านสินเชื่อ
ขณะเดียวกัน ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าเขาอาจลดภาษีนำเข้าจากจีน ตราบใดที่จีน “ทำบางสิ่ง” ให้กับสหรัฐฯ รวมถึงการกลับมาซื้อถั่วเหลือง ซึ่งช่วยหนุนความเชื่อมั่นของสหรัฐฯ เช่นกัน
นอกจากนี้ในสัปดาห์ที่แล้วทรัมป์ยืนยันแผนการพบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนที่เกาหลีใต้ และขณะที่สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีกำหนดพบปะกับรัฐมนตรีต่างประเทศจีนในสัปดาห์นี้
หุ้น Kering พุ่งขึ้น 4.8% หลังจากเจ้าของ Gucci ตกลงขายธุรกิจความงามให้กับ L’Oreal ในราคา 4 พันล้านยูโร ส่งผลให้ดัชนีของฝรั่งเศสปรับตัวสูงขึ้น ส่วนหุ้น L’Oreal เพิ่มขึ้น 1.2%
หุ้น BNP Paribas ธนาคารฝรั่งเศสร่วงลง 7.7% หลังจากคณะลูกขุนสหรัฐฯ ตัดสินว่าธนาคารช่วยเหลือรัฐบาลซูดานก่ออาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ด้วยการให้บริการทางการเงินที่ละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ
นักลงทุนเกาะติดการรายงานผลประกอบการของบริษัทในยุโรป ที่แม้เริ่มต้นสัปดาห์ค่อนข้างเงียบ โดย L’Oreal จะรายงานผลประกอบการในวันอังคาร SAP, Barclays และ Heineken รายงานผลประกอบการในวันพุธ ส่วนในวันพฤหัสบดีจะมี Kering, Roche, Unilever และ Lloyds Banking Group
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายนลดลง 2 เซนต์ หรือ 0.03% ปิดที่ 57.52 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 28 เซนต์ หรือ 0.46% ปิดที่ 61.01 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
———————————————————————————————————————————————————–

