ดาวโจนส์ร่วง 301 จุด ธนาคารระดับภูมิภาคเจอหนี้เสีย

HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลง ดาวโจนส์ปิดลบ 301 จุด จากความกังวลต่อคุณภาพสินเชื่อของธนาคารระดับภูมิภาคเพิ่มมากขึ้น นักลงทุนยังต้องรับมือสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และภาวะปิดทำการของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยังคงยืดเยื้อ  ด้านตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น และราคาน้ำมันดิบลดลง

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 16ตุลาคม 2568 ปิดที่ 45,952.24 จุด ลดลง 301.07 จุด หรือ -0.65% จากความกังวลต่อคุณภาพสินเชื่อหลังจากหนี้เสียของธนาคารระดับภูมิภาคเพิ่มมากขึ้น ขณะที่นักลงทุนยังต้องรับมือสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และภาวะปิดทำการของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยังคงยืดเยื้อ

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,629.07 จุด ลดลง 41.99 จุด, -0.63%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,562.54 จุด ลดลง 107.54 จุด, -0.47%

ธนาคารระดับภูมิภาคอย่าง Zions Bancorporation และ Western Alliance ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดของวัน หลังจากทั้งสองธนาคารเปิดเผยปัญหาเกี่ยวกับเงินให้กู้ยืม ซึ่งทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับแรงกดดันด้านสินเชื่อ โดย Zions Bancorporation ร่วงลง 13% หลังจากต้องตั้งสำรองจำนวนมากจากหนี้เสียสองราย ส่วน Western Alliance ร่วงลง 11% หลังจากกล่าวว่าถูกลูกหนี้รายหนึ่งฉ้อโกง

ส่วนหุ้นธนาคารภูมิภาคอื่น ๆ ก็ลดลงเช่นกัน โดยหุ้น Hingham Institution for Savings ลดลง 7.5% หุ้น Banc of California ลดลง 7.3% และ หุ้น Columbia Banking System ลดลงราว 7%

เจด เอลเลอร์โบรค ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอของ Argent Capital Management กล่าวกับ CNBCว่า ตลาดกำลังกังวลอย่างมากเกี่ยวกับความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อ และไม่ค่อยพอใจกับความเห็นของธนาคารในภูมิภาคดังนั้นธนาคารและสถาบันการเงินขนาดเล็กส่วนใหญ่จึงปรับตัวลดลงในวันนี้

อุตสาหกรรมธนาคารอยู่ในช่วงตึงเครียดหลังการล้มละลายของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์สองแห่ง ซึ่งทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการให้สินเชื่อที่หละหลวม โดยเฉพาะในตลาดสินเชื่อภาคเอกชนที่คลุมเครือ

นักลงทุนแห่เข้าซื้อพันธบัตร โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ลดลงต่ำกว่า 4% ขณะเดียวกัน ทองคำก็พุ่งขึ้นเหนือ 4,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่อีกครั้ง

ส่วนดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงเกือบ 0.5% ขณะที่ดัชนี CBOE Volatility Index ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุน พุ่งขึ้นแตะ 25.31 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม

ขณะเดียวกัน ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนับลด์ ทรัมป์ยืนยันเมื่อวันพุธว่า ความตึงเครียดกับจีนยังคงเพิ่มขึ้น ในการให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวที่ถามว่าทั้งสองประเทศกำลังมุ่งหน้าสู่สงครามการค้าที่ยาวนานหรือไม่ ทรัมป์กล่าวว่า ตอนนี้ก็อยู่ในสงครามการค้าแล้ว ขณะเดียวกัน สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ชี้ว่าการสงบศึกทางการค้าระหว่างทั้งสองประเทศอาจยืดเยื้อออกไป

นักลงทุนยังคงเกาะติดการปิดทำการของรัฐบาลสหรัฐที่ยืดเยื้อเป็นสัปดาห์ที่สามอย่างใกล้ชิด การปิดทำการส่งผลให้มีการไม่มีการเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญจากหน่วยงานรัฐบาลกลางอย่างไม่มีกำหนด และยังคาดการณ์ว่าภาวะปิดทำการจะยืดเยื้อไปถึงเดือนพฤศจิกายน

ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก โดยตลาดหุ้นฝรั่งเศสพุ่งสูงสุดในรอบ 7 เดือน หลังจากรัฐบาลรอดพ้นจากการลงประชามติไม่ไว้วางใจ ขณะที่การพุ่งขึ้นของหุ้น Nestle ช่วยหนุนตลาดหุ้นยุโรปโดยรวม

หุ้นกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น ชดเชยหุ้นกลุ่มประกันภัยที่อ่อนตัวลง

นายกรัฐมนตรีเซบาสเตียน เลอกอร์นูของฝรั่งเศส รอดพ้นจากการลงประชามติไม่ไว้วางใจสองครั้ง โดยได้รับการสนับสนุนในนาทีสุดท้ายจากพรรคสังคมนิยม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การปฏิรูปเงินบำนาญของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ซึ่งเป็นประเด็นที่ถูกโต้แย้งต้องถูกระงับไป

หุ้นบลูชิพของฝรั่งเศสเพิ่มขึ้น 1.4% อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของประเทศลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน และยูโรแข็งค่าขึ้น

ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 571.66 จุด เพิ่มขึ้น 3.89 จุด, +0.69%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,436.09 จุด เพิ่มขึ้น 11.34 จุด, +0.12%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,188.59 จุด เพิ่มขึ้น 111.59 จุด, +1.38%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,272.19 จุด เพิ่มขึ้น 90.82 จุด, +0.38%

หุ้น Nestle บริษัทอาหารบรรจุภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกพุ่งขึ้น 9.3% เป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2008 หลังจากที่รายงานยอดขายที่แข็งแกร่งเกินคาด และประกาศปลดพนักงาน 16,000 ตำแหน่งภายใต้ซีอีโอคนใหม่ ฟิลิปป์ นาฟราติล

ผลประกอบการของบริษัทใหญ่ๆ ในสหรัฐฯ และยุโรปที่สูงกว่าคาดในสัปดาห์นี้ยังช่วยหนุนความเชื่อมั่นหลังจากที่กังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ตามข้อมูลของ LSEG IBES คาดการณ์ว่ากำไรของบริษัทในกลุ่ม STOXX 600 จะเพิ่มขึ้น 0.5% ในไตรมาสที่สาม ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ที่ลดลง 0.2% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

หุ้น Pernod Ricard ผู้ผลิตสุราสัญชาติฝรั่งเศสเพิ่มขึ้น 4% หลังจากรายงานยอดขายในไตรมาสแรก

หุ้น Merck KGaA ซึ่งเป็นบริษัทผลิตยาและเทคโนโลยีของเยอรมนี เผยแนวโน้มผลประกอบการปี 2569 ที่ไม่โดดเด่นนัก โดยส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทลดลง 3.9%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายนลดลง 81 เซนต์ หรือ 1.39% ปิดที่ 57.46 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนธันวาคมลดลง 85 เซนต์ หรือ 1.37% ปิดที่ 61.06 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 
 
 
 
 
———————————————————————————————————————————————————–