KTBST พร้อมเปิดตัว “บลจ.วี” ประเดิมกองทุนแรกต้นปี 2562 เดินหน้าผู้จัดการ REIT ตั้งเป้ากำไรก่อนหักภาษีโตเท่าตัว แตะ 158 ล้านบาท ยืนยันยื่นไฟลิ่ง มี.ค. ปี 2562
ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KTBST กล่าวว่า ต้นปี 2562 คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วี และออกกองทุนแรกได้ หลังจากได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อเดือน พ.ย. 2561
นอกจากนี้ ยังคาดว่า จะได้รับใบอนุญาตเป็นผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT Management) และจัดตั้งบริษัท เคทีบีเอสที รีท แมเนจเมนท์ จำกัด ซึ่งคาดว่าจะได้รับอนุมัติให้ดำเนินธุรกิจได้ในเดือน ธ.ค. 2561
ขณะเดียวกันยังเดินหน้านำ KTBST เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยจะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อ ก.ล.ต. ในต้นเดือน ม.ค. 2562 และคาดว่าจะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ ได้ในช่วงต้นปี 2562 โดยไม่กังวลว่า ภาวะตลาดหุ้นจะผันผวนมากขึ้น
ทั้งนี้ ในปี 2562 KTBST ตั้งเป้าทำกำไรก่อนหักภาษีให้ได้ 158 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปี 2561 (ณ เดือน พ.ย. 2561 KTBST มี กำไรก่อนหักภาษี 76.7 ล้านบาท)
ธุรกิจบริหารความมั่งคั่งส่วนบุคคล ตั้งเป้ามีสินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำ (AUA) เติบโตที่ 125,000 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2561 ที่มีประมาณ 100,000 ล้านบาท
ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลตั้งเป้า AUM เติบโตแตะ 3,000 ล้านบาท จาก 2,000 ล้านบาท ในปี 2561
ธุรกิจตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุน (Selling Agent) ปัจจุบัน KTBST มีแพลทฟอร์มการให้บริการแบบ Open-architecture มีกองทุนรวมให้เลือกกว่า 1,000 กองทุน จาก 19 บลจ.ชั้นนำ โดยตั้งเป้า AUA ที่ระดับ 10,000 ล้านบาท เพิ่มจาก 7,000 ล้านบาท ในปี 2561
รวมถึงตั้งเป้ารักษาส่วนแบ่งการตลาดของการซื้อขาย TFEX ที่มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 5-10% ติดอันดับ 1-5 ของอุตสาหกรรม เช่นเดิม
ขณะที่ บลจ. วี ตั้งเป้าเติบโต 5,000 ล้านบาท และ เคทีบีเอสที รีทส์ แมเนจเม้นท์ เติบโต 3,000 ล้านบาท
“ในปี 2562 ตลาดเงิน ตลาดทุน อาจได้รับปัจจัยจากต่างประเทศที่ส่งผลให้การลงทุนมีความผันผวนและเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว แต่ KTBST มีบริการทางการเงินที่ครบวงจรและมีความพร้อมในธุรกิจทางการเงิน จึงเชื่อว่านักลงทุนจะมองหาบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ความต้องการของตนเองและเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจในปี 2562 โดยเฉพาะการมีที่ปรึกษาทางการเงินที่คอยให้คำแนะนำในการเลือกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะสม ซึ่ง KTBST ยังเดินหน้าพัฒนาธุรกิจด้วยวิสัยทัศน์ ที่จะเป็นสถาบันการเงินในประเทศไทยที่มีความโดดเด่น ในการให้บริการลูกค้าแบบครบวงจร ที่มีบุคลากรที่เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาด้านการลงทุน และ การมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลายทั้งในและต่างประเทศ และที่สำคัญคือการมีธรรมาภิบาลที่โปร่งใสสามารถตรวจสอบได้” ดร.วิน กล่าว
นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมา KTBST ขยายธุรกิจให้บริการที่ครบวงจรมากขึ้น ทำให้ในปี 2561 บริษัทมีผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดย ณ สิ้นเดือน พ.ย. 2561 บริษัท มีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,074.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% และมีกำไรก่อนหักภาษี 76.7 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 122% จากช่วงเดียวกันของปี 2560 ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่บริษัทวางไว้ โดยสัดส่วนรายได้หลักมาจาก 2 ส่วน คือ ค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ 50% และ ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจบริการอื่นๆ 34% ที่มีการเติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะจากธุรกิจที่ปรึกษาการเงิน ธุรกิจธุรกิจตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุน และธุรกิจบริการกองทุนส่วนบุคคล ที่เหลือมาจากรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผล และดอกเบี้ยจากการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ประมาณ 15%
ด้วยการเติบโตดังกล่าวส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทมีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ที่ซื้อขายอยู่เป็นประจำจำนวนกว่า 7,000 บัญชีเพิ่มขึ้นมากกว่า 2,000 บัญชี ในปี 2561 ทั้งนี้ ในการดำเนินธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ KTBST จะไม่ได้เน้นขยายส่วนแบ่งการตลาด เนื่องจาก บริษัทเน้นการให้บริการการวางแผนการลงทุนแบบครบวงจรมากกว่าการเทรดหุ้นเพียงอย่างเดียว
ธุรกิจวาณิชธนกิจด้านการออกตราสารหนี้ หรือ Corporate finance solution เติบโตต่อเนื่องเช่นเดียวกัน โดยตั้งแต่ปี 2559 ถึงปัจจุบัน บริษัทออกตราสารหนี้ทั้งตั๋วแลกเงิน และหุ้นกู้ เพื่อระดมทุนให้บริษัทชั้นนำต่าง ๆ กว่า 40 บริษัท มูลค่ากว่า 47,000 ล้านบาท
“ในปี 2561 บริษัทได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการวาณิชธนกิจจากทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อีกครั้งในเดือนกรกฎาคม และเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) ให้กับ บริษัท ไทย อิงเกอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TIGER ในเดือนตุลาคม ถือเป็น IPO ตัวแรกที่ประสบความสำเร็จหลังจากบริษัทถูกพักใบอนุญาตไปเป็นเวลา 2 ปี”
ด้านความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ KTBST ได้ขยายโอกาสทางการลงทุนไปต่างประเทศด้วยการจับมือกับบริษัท Unicapital Group จากประเทศฟิลิปปินส์ พร้อมกับลงนามความร่วมมือด้านวาณิชธนกิจและนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ เพื่อสร้างโอกาสที่จะให้นักลงทุนไทยสามารถไปลงทุนต่างประเทศในอนาคต
KTBST ยังได้ส่งเสริมและพัฒนาการออมและลงทุนกับชาวมุสลิมในกรุงเทพมหานคร ด้วยการลงนามความร่วมมือ (MOU) กับสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานคร เพื่อสนับสนุนชาวมุสลิมในกรุงเทพมหานครให้มีความเข้าใจเรื่องการเงินเพื่อวางแผนการเกษียณอายุตามหลักศาสนาอิสลาม ถือได้ว่าในปีนี้ 2561 KTBST ประสบความสำเร็จทั้งในด้านการพัฒนาบริษัทเพื่อรองรับโอกาสการเติบโตในอนาคตและในด้านการขยายธุรกิจกับพันธมิตรต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ
ทั้งนี้ในปี 2561 บริษัทได้กับพัฒนาเทคโนโลยี เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า ทั้งการพัฒนาระบบชำระเงินออนไลน์ หรือ e-Payment ในการทำธุรกิจกรรมทางการเงินต่างๆ มีการพัฒนาระบบ Single Application เพิ่มความสะดวกในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ของลูกค้า โดยลูกค้า KTBST เปิดบัญชีเพียงครั้งเดียวสามารถลงทุนได้ในทุก ๆ สินทรัพย์ ที่บริษัทให้บริการ พร้อมด้วยการพัฒนาระบบ KTBST Single Sign-on คือ บริการออนไลน์ให้ลูกค้ามีเพียง Log in เดียวเพื่อเข้าใช้บริการต่าง ๆ ของ KTBST ทั้ง e-Service, Settrade streaming และ KTBST Trade ทำให้ลูกค้าสามารถ เข้าถึงพอร์ตการลงทุนทุกสินทรัพย์ รายงานการทำธุรกรรมต่าง ๆ กำไรและขาดทุนของพอร์ตการลงทุน รวมถึงการส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ด้วย
ด้านใบอนุญาตใหม่ในการประกอบธุรกิจ ปี้นี้บริษัทได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจซื้อ ขายหรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจากธนาคารแห่งประเทศไทย โดยเป็นบริษัทหลักทรัพย์แห่งแรกที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มอบใบอนุญาตนี้ และได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้ KTBST เป็น “ผู้ให้บริการออกแบบการลงทุน” หรือ Wealth advice ในโครงการ “5 ขั้น มั่นใจลงทุน” เพื่อช่วยในเรื่องการวางแผนทางการเงินแก่ประชาชนทั่วไป ผ่านตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทและนายทะเบียนหลักทรัพย์
นอกจากนี้ บริษัทยังได้เตรียมเปิดระบบการให้บริการด้านการลงทุนบน online application ที่อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าเปิดบัญชี Online เพื่อลดการใช้กระดาษในการทำเอกสารต่าง ๆ ลูกค้าจึงเปิดบัญชีเพียงครั้งเดียวแต่สามารถลงทุนซื้อขายได้ทั้ง หุ้น, อนุพันธ์, การลงทุนต่างประเทศ ทั้งหุ้น กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) กองทุนรวมต่างๆ จาก 19 บลจ. กองทุนส่วนบุคคล และกองทุนรวมจาก บลจ. วี อีกด้วย