HoonSmart.com>>ดาวโจนส์ปิดลบ 17 จุด ส่วนดัชนี S&P500 บวก ท่ามกลางการซื้อขายผันผวน ได้แรงหนุนผลประกอบการแข็งแกร่งของ Bank of America และ Morgan Stanley นักลงทุนยังกังวลความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีน,การปิดหน่วยงานรัฐบาล แต่ยังหวังดอกเบี้ยจะลดลง ด้าน”ราคาน้ำมันดิบ” ปรับลดลง ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดบวก
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 15 ตุลาคม 2568 ปิดที่ 46,253.31 จุด ลดลง 17.15 จุด หรือ -0.04% แต่ดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นท่ามการซื้อขายที่ผันผวน ด้วยแรงหนุนจากรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งของ Bank of America และ Morgan Stanley นักลงทุนยังคงตื่นตัวต่อความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน รวมไปถึงการปิดหน่วยงานรัฐบาล ขณะที่ยังความหวังว่าอัตราดอกเบี้ยจะลดลง
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,671.06 จุด เพิ่มขึ้น 26.75 จุด, +0.40%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,670.08 จุด เพิ่มขึ้น 148.38 จุด, +0.66%
ตลาดหุ้นในช่วงแรกได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของ Bank of America และ Morgan Stanley โดย Bank of America มีกำไรเพิ่มขึ้น 23% ส่วน Morgan Stanley มีกำไรเพิ่มขึ้น 45% ซึ่งช่วยกระตุ้นตลาดให้คึกคักขึ้น ในขณะที่เผชิญกับความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยังไม่มีทีท่าจะสิ้นสุด
ราคาหุ้น Bank of America ปิดตลาดเพิ่มขึ้น 4.4% ขณะที่ราคาหุ้น Morgan Stanley ปิดตลาดสูงขึ้น 4.7%
นอกจากนี้ ความเห็นของเจอโรม พาวเวลล์ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ก็ช่วยสร้างความเชื่อมั่นเช่นกัน โดยกล่าวว่า ความเสี่ยงด้านลบต่อการจ้างงานดูเหมือนจะเพิ่มขึ้น ซึ่งหมายความว่าอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต
นักลงทุนให้ความสนใจกับผลประกอบการและคำพูดของพาวเวลล์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากปัจจุบันยังขาดข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเศรษฐกิจ จากการหยุดชะงักของรัฐบาลกลางทำให้การเปิดเผยข้อมูลสำคัญล่าช้าออกไป
นักลงทุนยังคงมุมมองที่ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายเดือนนี้ และโอกาสในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเป็นประมาณ 96%
ดัชนี CBOE ซึ่งเป็นมาตรวัดความกังวลของตลาดพุ่งขึ้นสูงสุดในช่วงบ่ายและปิดที่ 20.6 เนื่องจากนักลงทุนยังกังวลต่อความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ยังคงคุกรุ่น หลังจาก
ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่ากำลังพิจารณาคว่ำบาตรน้ำมันปรุงอาหารจากจีนเพื่อตอบโต้การลดการซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ
ซึ่งส่งผลให้หุ้นบริษัทอาหารและเกษตรพุ่งขึ้น โดยหุ้น Bunge Global เป็นหนึ่งในผู้แปรรูปถั่วเหลืองและผู้ผลิตน้ำมันปรุงอาหารรายใหญ่ที่สุดของโลกพุ่งขึ้นมากกว่า 11% ในวันพุธ
ในวันพุธ สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้จุดประกายความหวังในเรื่องนี้ โดยกล่าวว่าทรัมป์ยังคงวางแผนที่จะพบกับผู้นำสีจิ้นผิงของจีนในปลายเดือนนี้ เบสเซนต์ยังได้เสนอให้ขยายระยะเวลาการระงับภาษีศุลกากรออกไป แม้ว่าจะวิพากษ์วิจารณ์ความเคลื่อนไหวทางการค้าล่าสุดของจีนก็ตาม
ในการสัมภาษณ์พิเศษ CNBC เมื่อวันพุธเบสเซนต์กล่าวว่า รัฐบาลทรัมป์จะกำหนดราคาขั้นต่ำในหลากหลายอุตสาหกรรมเพื่อจัดการกับการปั่นตลาดโดยจีน
เบสเซนต์ยังกล่าวว่า ประธานาธิบดี ทรัมป์ อาจกดดันบริษัทด้านการป้องกันประเทศของสหรัฐฯ ให้ซื้อหุ้นคืนน้อยลงเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ส่งผลให้หุ้น Lockheed Martin และ Northrop Grumman ลดลงมากกว่า 1% และประมาณ 3%
ในขณะเดียวกัน รัฐบาลทรัมป์กำลังเตรียมรับมือกับภาวะปิดทำการของรัฐบาลที่จะยืดเยื้อออกไป คาดว่าจะมีรายการโครงการของรัฐบาลกลางที่ถูกกำหนดให้มีการตัดลดงบประมาณในสัปดาห์นี้ และสำนักงานงบประมาณทำเนียบขาวกำลังพยายามหาทางจ่ายเงินให้กับทหารและเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย
สำหรับความเคลื่อนไหวหุ้นรายตัว หุ้นASML ที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นกว่า 4% หลังจากที่ผู้ผลิตอุปกรณ์ชิปสัญชาติเนเธอร์แลนด์รายนี้ระบุว่าคาดว่ายอดขายในปี 2026 จะสูงกว่ายอดขายในปี 2025
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก จากการปรับขึ้นของหุ้น LVMH ในฝรั่งเศสจุดประกายการวิ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าหรู และช่วยคลายความกังวลที่ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและภาษีศุลกากรกำลังส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัท
หุ้น LVMH พุ่งขึ้น 12.2% ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบวันนับตั้งแต่เดือนมกราคม หลังจากที่เจ้าของแบรนด์ Louis Vuitton และ Dior รายงานยอดขายไตรมาสที่สามดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการที่ปรับตัวดีขึ้นในจีน
LVMH ถือเป็นดาวเด่นของภาคส่วนสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งกำลังเผชิญกับภาวะตกต่ำมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่ช่วงหลังการระบาดใหญ่ยุติลง
หุ้นสินค้าหรูอื่น ๆ ทั้ง Hermes, Kering, Richemont และ Moncler ปรับตัวขึ้นระหว่าง 4.7% ถึง 7.8% รอยเตอร์สคาดการณ์ว่าการพุ่งขึ้นของราคาหุ้นครั้งนี้น่าจะส่งผลให้มูลค่าตลาดของบริษัทชั้นนำ 10 อันดับแรกในดัชนี STOXX Europe Luxury เพิ่มขึ้นราว 8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ดัชนีบลูชิพของฝรั่งเศสที่เน้นสินค้าฟุ่มเฟือยเพิ่มขึ้น 2%
ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 567.77 จุด เพิ่มขึ้น 3.23 จุด, +0.57%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,424.75 จุด ลดลง 28.02 จุด, -0.30%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,077.00 จุด เพิ่มขึ้น 157.38 จุด, +1.99%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,181.37 จุด ลดลง 55.57 จุด, -0.23%
ในบรรดาบริษัทอื่นๆ ที่รายงานผลประกอบการ หุ้น ASML เพิ่มขึ้น 3.1% หลังจากที่ซัพพลายเออร์อุปกรณ์ผลิตชิปคอมพิวเตอร์รายใหญ่ที่สุดของโลกรายนี้ทำยอดสั่งซื้อในไตรมาสที่สามและคาดการณ์ในไตรมาสที่สี่ได้สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
หุ้น TotalEnergies พุ่งขึ้น 3.7% หลังจากที่บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศสรายนี้ระบุว่าคาดว่าจะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สามเพิ่มขึ้น เนื่องจากการผลิตขั้นต้นที่สูงขึ้นและอัตรากำไรจากการกลั่นน้ำมันดิบที่ดีขึ้นช่วยชดเชยราคาน้ำมันที่ลดลง
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตโดยเฉลี่ย 0.5% เทียบกับการลดลง 0.6% ที่เห็นในช่วงต้นฤดูกาลรายงานผลประกอบการ แต่ยังคงลดลงอย่างมากจากการ
เติบโต 7.8% ในไตรมาสที่สามของปี 2567
รายงานผลประกอบการที่เป็นบวกอย่างมากของธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ในวันอังคาร และความเห็นของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ เจอโรม พาวเวลล์ ที่หนุนการคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ล้วนเป็นปัจจัยที่หนุนให้บรรยากาศคึกคักขึ้น
หุ้น Stellantis ปิดตลาดสูงขึ้น 3.2% หลังจากประกาศแผนการลงทุนใหม่ในสหรัฐฯ มูลค่า 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งนักลงทุนและนักวิเคราะห์มองว่าอาจช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์รายนี้รับมือกับมาตรการภาษีนำเข้าที่ตึงเครียดของสหรัฐฯ ได้
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายนลดลง 43 เซนต์ หรือ 0.73% ปิดที่ 58.27 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนธันวาคมลดลง 48 เซนต์ หรือ 0.77% ปิดที่ 61.91 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

