ดาวโจนส์ปิดลบ 91 จุด วิตกเศรษฐกิจจากชัตดาวน์

HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯทั้ง 3 ดัชนีหลักปิดลบ ดัชนี S&P-Nasdaq อ่อนตัวจากแรงขายหุ้น Oracle ปรับตัวลดลง ท่ามกลางความกังวลความสามารถในการทำกำไรของปัญญาประดิษฐ์ ด้านการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯเข้าสู่สัปดาห์ที่สอง ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” ทรงตัว ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดลบ หุ้นกลุ่มสุขภาพและธนาคารร่วง

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 7 ตุลาคม 2568 ปิดที่ 46,602.98 จุด ลดลง 91.99 จุด หรือ -0.20% ขณะที่ดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq อ่อนตัวจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากราคาหุ้น Oracle ที่ปรับตัวลดลง ท่ามกลางความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับความสามารถในการทำกำไรของปัญญาประดิษฐ์ รวมทั้งยังมองหาสัญญาณที่ดีขึ้นการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯที่เข้าสู่สัปดาห์ที่สอง

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,714.59 จุด ลดลง 25.69 จุด, -0.38%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,788.36 จุด ลดลง 153.30 จุด, -0.67%

Oracle นำหุ้นเทคโนโลยีปรับตัวลดลง หลังจาก The Information รายงานว่าบริษัทซอฟต์แวร์แห่งนี้ทำกำไรจากธุรกิจคลาวด์ได้น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้มาก และขาดทุนจากข้อตกลงเช่าชิป Nvidia บางส่วน ราคาหุ้น Oracle ร่วงลงถึง 7% ก่อนที่จะฟื้นตัวมาปิดลดลง 2.5%

หุ้น Tesla ร่วงลง 4% หลังจากที่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายนี้ได้เปิดตัวรถยนต์รุ่น Model Y ที่มีราคาถูกลง โดยมีราคาต่ำกว่า 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันอังคาร

การรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะยิ่งโดดเด่นกว่าปกติในตลาดในช่วงที่รัฐบาลสหรัฐฯ ปิดทำการ ยิ่งรัฐบาลกลางปิดทำการนานเท่าไหร่ ภาพรวมของเศรษฐกิจก็จะยิ่งคลุมเครือมากขึ้นเท่านั้นสำหรับนักลงทุน เนื่องจากข้อมูลสำคัญต่างๆ เริ่มน้อยลง ทำให้ยากที่จะคาดการณ์ทิศทางของอัตราดอกเบี้ย

รายงานการจ้างงานเดือนกันยายนซึ่งเดิมกำหนดเผยแพร่วันศุกร์ได้ถูกเลื่อนออกไปแล้ว การประกาศตัวเลขเงินเฟ้อของผู้บริโภคและผู้ผลิตในสัปดาห์หน้า ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็อาจถูกเลื่อนออกไปเช่นกัน นอกจากนี้ยังหมายความว่าพนักงานบางส่วน เช่น เจ้าหน้าที่ TSA(Traffic Controllers Association) และเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ จะไม่ได้รับค่าจ้าง เช่นเดียวกัน บุคลากรทางทหารที่ยังประจำการอยู่ก็จะไม่ได้รับค่าจ้างเช่นกัน หากการหยุดงานยังไม่สิ้นสุดภายในกลางสัปดาห์หน้า

ความหวังที่ว่ารัฐบาลจะเปิดทำการอีกครั้งสลายไป หลังจากที่วุฒิสภาสหรัฐฯ ล้มเหลวเป็นครั้งที่ 5 เมื่อวันจันทร์ในการผ่านร่างกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎรที่จัดสรรเงินให้แก่รัฐบาลจนถึงวันที่ 21 พฤศจิกายน สภาผู้แทนราษฎรลงมติส่วนใหญ่ตามแนวทางของพรรคการเมือง ขณะที่สมาชิกพรรคเดโมแครตอย่างน้อย 8 รายต้องร่วมมือกับพรรครีพับลิกันเพื่อให้ผ่านเกณฑ์ 60 เสียง ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่จำเป็นสำหรับการผลักดันกฎหมายฉบับนี้

ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการปิดหน่วยงานรัฐบาลกดดันให้นักลงทุนป้องกันความเสี่ยงในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและหันเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย ส่งผลให้ราคาทองคำล่วงหน้าพุ่งแตะระดับ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นครั้งแรก

นักลงทุนยังกังวลมากขึ้นจากความไม่แน่นอนที่เพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับนโยบายการค้าของรัฐบาลทรัมป์ หลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่าเขาจะหารือเรื่องภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดากับนายกรัฐมนตรีมาร์ค คาร์นีย์ โดยระบุว่าเขาต้องการให้แคนาดาทำให้ดีกว่านี้แต่แคนาดา กำลังแข่งขันในธุรกิจเดียวกันกับสหรัฐฯ

ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ จากหุ้นกลุ่มสุขภาพและธนาคารที่ร่วง ขณะที่การฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยในฝรั่งเศสช่วยจำกัดการปรับลงในภูมิภาคหลังจากเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองเมื่อวันจันทร์

ตลาดหุ้นสเปนก็อ่อนตัวลง 0.2% หลังจากแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 18 ปีในวันศุกร์

ขณะที่ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดทรงตัวหลังจากถูกเทขายอย่างหนักในวันจันทร์ อันเนื่องมาจากการลาออกอย่างกะทันหันของนายกรัฐมนตรีเซบาสเตียน เลอกอร์นู

ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 569.27 จุด ลดลง 0.97 จุด, -0.17%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,483.58 จุด เพิ่มขึ้น 4.44 จุด, +0.05%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,974.85 จุด เพิ่มขึ้น 3.07 จุด, +0.04%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,385.78 จุด เพิ่มขึ้น 7.49 จุด, +0.03%

เลอกอร์นูที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่งได้เริ่มต้นการเจรจาครั้งสุดท้ายเป็นเวลาสองวันเพื่อพยายามจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ขณะที่นักวิเคราะห์เตือนว่าความวุ่นวายทางการเมืองอาจทำให้งบประมาณปี 2569 สะดุด

ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง เผชิญกับเสียงเรียกร้องที่เพิ่มขึ้นให้ลาออกหรือจัดการเลือกตั้งกะทันหัน ท่ามกลางวิกฤตที่ทำให้นายกรัฐมนตรี 5 คนต้องลาออกภายในเวลาไม่ถึงสองปี

ตลาดหุ้นฝรั่งเศสเป็นตลาดที่ทำผลงานแย่ที่สุดของยุโรปในปีนี้ โดยเพิ่มขึ้น 8% ต่างจากดัชนีของหลายประเทศ ที่เพิ่มขึ้นสองหลัก ตอกย้ำถึงความวิตกของตลาดจากปัญหารัฐสภาที่แตกแยก และความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นนับตั้งแต่การเลือกตั้งประธานาธิบดีมาครงในปี 2565

ขณะเดียวกัน การคาดการณ์ผลประกอบการล่าสุดแสดงให้เห็นว่าแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทในยุโรปดีขึ้นเล็กน้อย แม้ว่ายังคงเป็นผลประกอบการรายไตรมาสที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2024

หุ้นกลุ่มสินค้าหรูหราพุ่งขึ้น 1.8% จากการเปิดตัวผลงานใหม่ของแบรนด์แฟชั่น และการผลักดันให้สินค้ามีราคาที่จับต้องได้ ทำให้นักลงทุนมีความหวังว่าภาคส่วนนี้จะกลับมาฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป

หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์เป็นหนึ่งในหุ้นที่ฉุดรั้งหุ้นยุโรปมากที่สุด โดยลดลง 0.4% หุ้น Novo Nordisk ของเดนมาร์กร่วงลง 2.8% หลังจากศาลสหรัฐฯ ปฏิเสธคำร้องต่อโครงการเจรจาราคายาของเมดิแคร์

หุ้น Bayer ของเยอรมนีลดลง 2% หลังนัจาก Goldman Sachs คาดว่ากำไรไตรมาส 3 จะต่ำกว่าประมาณการ

กลุ่มน้ำมันและก๊าซปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.5% จากการเพิ่มขึ้น 1.5%ของหุ้น Shell หลังจากที่บริษัทพลังงานรายใหญ่รายนี้รายงานปริมาณการผลิต LNG ที่สูงขึ้นและผลประกอบการการซื้อขายก๊าซที่ดีขึ้นในไตรมาสที่สาม

ในด้านข้อมูลเศรษฐกิจ ราคาบ้านในอังกฤษเพิ่มขึ้น 1.3% ในช่วง 12 เดือนจนถึงเดือนกันยายน ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้ ขณะที่คำสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีลดลงเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันในเดือนสิงหาคม

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้น 4 เซนต์ หรือ 0.06% ปิดที่ 61.73 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 2 เซนต์ หรือ 0.03% ปิดที่ 65.45 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 
 
 
 
 
———————————————————————————————————————————————————–