‘บลจ.กสิกรไทย’ชวนเจพี มอร์แกนฯ จัดสัมมนาใหญ่ เดินเกม K-WealthPLUS Series ต่อยอดรับเกษียณ

HoonSmart.com>>”บลจ.กสิกรไทย” จัดสัมมนาการลงทุนสุดยิ่งใหญ่แห่งปี ชวนพันธมิตรระดับโลก J.P. Morgan Asset Management ร่วมถ่ายทอดมุมมองเศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุนปี 2026 ชูจัดพอร์ตแบบ Core-Satellite ช่วยสร้างสมดุลระหว่างความมั่นคง โอกาสสร้างผลตอบแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โชว์ผลงานกลุ่มกองทุน “K-WealthPLUS Series” แกร่งฝ่าความผันผวน สร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 7-8% พร้อมเดินเกมต่อยอดสู่ Retirement Solutions มุ่งสู่ผู้นำด้านกองทุนผสมทั้งกองทุนรวม-กองทุนเพื่อการเกษียณ

 

 

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด ร่วมกับพันธมิตรระดับโลก J.P. Morgan Asset Management จัดงานสัมมนาการลงทุนสุดยิ่งใหญ่แห่งปี “Know The Markets Summit 2025: Core Stability Amidst Market Volatility” โดยได้รับเกียรติจาก Mr. Ayaz Ebrahim CEO for Singapore and Southeast Asia, J.P. Morgan Asset Management (ที่ 7 จากซ้าย) และนายวิน พรหมแพทย์, CFA ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย (ที่ 7 จากขวา) นำทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนจากทั้ง 2 บริษัท มาร่วมถ่ายทอดมุมมองเศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุนสำหรับปี 2026 เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุนไทยในการเตรียมรับมือกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก

นายวิน พรหมแพทย์, CFA ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า งานสัมมนาดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อให้ความรู้และให้ข้อมูลแก่ลูกค้า โดยธีมที่นำเสนอพอร์ตการลงทุนที่นิ่งภายใต้ความผันผวนของภาวะตลาด เมื่อย้อนกลับไป 1 ปีที่ไทยเจอเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีจนมาถึงการชัตดาวน์สหรัฐฯ หากมีการกระจายความเสี่ยงลงทุนทั่วโลกเป็นพอร์ตการลงทุนหลักหรือ Core Port ผ่านกลุ่มกองทุน K-WealthPLUS Series ซึ่งมี 3 กองทุนให้เลือกลงทุนตามระดับความเสี่ยง ได้แก่ K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP และ K-WPULTIMATE ที่ผสมผสานสินทรัพย์หลากหลายประเภททั่วโลก ซึ่งได้พิสูจน์ตัวเองในช่วงที่ทรัมป์ขึ้นภาษีตลาดหุ้นโลกร่วง 20% ขณะที่กลุ่มกองทุนลดลงเพียง 2% สะท้อนถึงความนิ่งของผลตอบแทนที่พาลูกค้าฝ่าคลื่นลมมาได้ ซึ่งเป็นแนวคิด Core Stability

ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย และ J.P. Morgan Asset Management ได้นำเสนอกลุ่มกองทุน K-WealthPLUS Series ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่อง โดยนับตั้งแต่ต้นปี (YTD) ติดอันดับ 1st Quartile ในกลุ่ม Conservative, Moderate และ Aggressive Allocation อีกทั้งยังได้รับการจัดอันดับ 4-5 ดาวจาก Morningstar (ที่มา: Morningstar ณ ก.ย.2568)
 

K-WealthPLUS Series โชว์ผลตอบแทนเฉลี่ย 7-8%

สำหรับผลการดำเนินงานในรอบ 1 ปี กองทุน K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP และ K-WPULTIMATE (ข้อมูล ณ 30 ก.ย.2568) สร้างผลตอบแทนอยู่ที่ 6.23%, 8.12% และ 9.83% ตามลำดับ โดยผลตอบแทนเฉลี่ยของทั้งสามกองทุนอยู่ที่ 7-8% ขณะที่ผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (ข้อมูล ณ 30 ก.ย.2568) อยู่ที่ 5.3%, 6.7% และ 8.2% ตามลำดับ

นายวิน กล่าวว่า บลจ.กสิกรไทย ยังคงแนะนำการจัดพอร์ตลงทุนแบบ Core-Satellite Portfolio เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความมั่นคงและโอกาสในการสร้างผลตอบแทน โดยเน้นสัดส่วน Core 80% และ Satellite 20%

สำหรับ Core Portfolio ประกอบด้วยกลุ่มกองทุน K-WealthPLUS Series ได้แก่ K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP และ K-WPULTIMATE ที่ผสมผสานสินทรัพย์หลากหลายประเภททั่วโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมด้วยกองทุนตราสารหนี้ทั่วโลก K-GDBOND และกองทุนหุ้นทั่วโลก K-GSELECT และ K-GPIN เพื่อเสริมความมั่นคง

ในขณะที่ Satellite Portfolio เป็นส่วนที่เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนได้เลือกลงทุนตามธีมที่น่าสนใจ ซึ่งประกอบไปด้วยกองทุน K-PROPI, K-INDIA, K-CHINA, K-GPEQ-UI และ K-GPC-UI เพื่อกระจายความเสี่ยงอย่างรอบด้าน

 

ต่อยอดสู่ “Retirement Solutions”

นายวิน กล่าวเพิ่มเติมว่า บลจ.กสิกรไทย ยังนำแนวคิด Core Portfolio ไปต่อยอดการบริหาร Retirement Solutions ให้กับลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ทำให้สมาชิกกองทุนสามารถเลือกแผน K-WealthPLUS Series ที่เหมาะกับทุกช่วงวัยทำงาน จากปัจจุบันพบว่าคนไทยออมเงินเพื่อเกษียณกระจุกอยู่ในหุ้นไทยและตราสารหนี้ไทยเป็นหลัก ไม่ได้มีการกระจายความเสี่ยงไปยังต่างประเทศ แม้ปัจจุบันกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีนโยบายการลงทุนให้สมาชิกได้เลือกลงทุนแล้วก็ตาม ดังนั้น K-WealthPLUS Series จึงจะเข้ามาตอบโจทย์สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งชี้ให้เห็นภาพรวมการลงทุนหากสมาชิกลงทุนแต่ในไทย ผลตอบแทนค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับการกระจายลงทุนต่างประเทศ

นอกจากนี้สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ยังสามารถเลือกแผน Life Path ที่ยกภาระให้ทีมผู้เชี่ยวชาญของ K-Asset ดำเนินการปรับพอร์ตให้แบบอัตโนมัติ โดยจะทยอยลดสัดส่วนสินทรัพย์เสี่ยงเมื่อสมาชิกอายุมากขึ้น

“แม้จะเริ่มได้ไม่นาน แต่แนวคิด Core Port ก็ได้รับการตอบรับดีมาก โดยมีนายจ้างมากกว่า 300 ราย เลือก K-WealthPLUS Series เป็นหนึ่งในแผนการลงทุน ส่งผลให้มี AUM มากกว่า 1,300 ล้านบาท นอกจากนี้ มีนายจ้างมากกว่า 70 รายที่เลือก Life Path เป็นหนึ่งในแผนการลงทุนเพื่อเกษียณให้กับสมาชิกด้วย (ที่มา: บลจ.กสิกรไทย ณ ก.ย.2568)”นายวิน กล่าว

สำหรับมุมมองการลงทุนจากงานสัมมนาในครั้งนี้ได้เน้นย้ำถึงความแข็งแกร่งของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปี 2025 แม้เศรษฐกิจโดยรวมจะเริ่มชะลอตัว โดยได้รับแรงหนุนจากการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งยังคงเป็นกลุ่มที่มีความต้องการสูงและมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตของกำไรต่อหุ้น โดยเฉพาะบริษัทชั้นนำอย่าง Nvidia และ Apple ที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันการเริ่มต้นวัฏจักรลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ส่งผลเชิงบวกต่อความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน

“เรายังมองหลักการกระจายความเสี่ยง ด้วยการกระจายลงทุน เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทยและเพื่อนบ้าน รวมทั้งการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงกระจุกตัวในกลุ่มเทคโนโลยี และไม่รู้ว่าจะเกิดฟองสบู่หรือไม่ จึงจำเป็นต้องกระจายความเสี่ยงผ่านการลงทุนในหลากหลายประเภทสินทรัพย์ เพื่อเป็น Core Port สัดส่วน 80% และที่เหลือ 20% อาจพิจารณาตลาดหุ้นในเอเชียที่ยังมีศักยภาพเติบโต โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีในอินเดียและไต้หวัน”นายวิน กล่าว

ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย และ J.P. Morgan Asset Management ยังคงเดินหน้าความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในการยกระดับการจัดสรรสินทรัพย์ทั่วโลก โดยอาศัยองค์ความรู้จากทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีเครือข่ายอยู่ทั่วโลกผ่านมุมมองการลงทุนเชิงลึก “Know The Markets” ผสานกับบทวิจัย “KAsset Capital Market Assumptions” (KCMA) ซึ่งเป็นผลงานที่เกิดจากความมุ่งมั่นทุ่มเทในการทำงานร่วมกันของทีมผู้เชี่ยวชาญกว่า 30 คน จาก 4 ทีมบริหารการลงทุนหลักจากทั้ง 2 บริษัท รวมถึงการนำเสนอกลุ่มกองทุน K-WealthPLUS Series

นายวิน กล่าวต่อไปว่า สำหรับกลยุทธ์การลงทุน Multi-Asset 2.0 ซึ่งเป็นแนวทางการกระจายการลงทุนที่พัฒนาขึ้น เพื่อรองรับความไม่แน่นอนภายใต้บริบทของความผันผวนทางเศรษฐกิจและการเงินทั่วโลก โดยเน้นการใช้ข้อมูลเชิงลึกในการตัดสินใจลงทุนภายใต้การบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม และการปรับพอร์ตตามสภาวะตลาดที่เน้นการจัดสรรสินทรัพย์อย่างยืดหยุ่นและหลากหลาย ทั้งในด้านภูมิภาค อุตสาหกรรม และประเภทสินทรัพย์ อาทิ หุ้น ตราสารหนี้ สินทรัพย์ทางเลือก และเงินสด

ล่าสุดได้เพิ่มสินทรัพย์นอกตลาด (Private Asset) เพื่อเพิ่มศักยภาพการเติบโตให้กับพอร์ตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว เพื่อนำเสนอให้แก่ลูกค้าไฮเน็ตเวิร์คและลูกค้าสถาบัน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างทำงานร่วมกับ J.P. Morgan Asset Management เพื่อนำเสนอการลงทุน Private Equtiy , Private Credit และ Private infrastructure คาดว่าจะเปิดตัวได้ประมาณต้นปี 2569

นายวิน ยังกล่าวถึงตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นแรงในวันนี้ เป็นทิศทางที่ดี แต่เป็นห่วงความเปราะบางของตลาด เพราะหุ้นขึ้นมาโดยหุ้นไม่กี่ตัว ซึ่งได้พยายามส่งสัญญาณไปตลาดเพื่อให้ดูแล เพราะเราอยากให้ตลาดขึ้นแบบเฮลธ์ตี้ พร้อมทั้งมองการเสนอแนวทาง TISA ส่งเสริมการออมระยะยาวเพื่อเกษียณ ที่สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ผลักดันให้ ThaiESG เป็นการลงทุนได้สิทธิ์ทางภาษีถาวร ไม่ต้องรอต่อเวลาเมื่อครบเวลา ซึ่งทั้งสองส่วนมองว่าจะช่วยการอมระยะยาวได้ เป็นผลดีต่อตลาดหุ้นไทยระยะยาว