4 มาตรการพลิกโฉมตลาดทุนไทย สร้างเสน่ห์+แม่เหล็กดึงทุนทั่วโลก

HoonSmart.com>>สศค.- ก.ล.ต.- ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ FETCO ผนึกกำลังเปิดชุดมาตรการ ‘สร้างเสน่ห์ตลาดทุนไทย’ ด้วย 4 กลไกหลัก Quality Demand, Attractive Supply, Trusted Market และ Supportive Ecosystem เร่งวางกรอบให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้ เริ่มที่การมัดรวมสิทธิการออมระยะยาวหวังประชาชนพึ่งพาตัวเองได้ ยกระดับความเชื่อมั่น ดึงดูดธุรกิจคุณภาพเข้าตลาด พลิกโฉมเปลี่ยนตลาดหุ้นไทยให้เป็นเสาหลักของเศรษฐกิจในอนาคต หวังเป็นแม่เหล็กดึงเงินทุนทั่วโลก

สำหรับ 4 มาตรการหลักจาก “ชุดมาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดทุนไทย” ที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ร่วมกันผลักดันออกมา ประกอบด้วย

1. Quality Demand – สร้างผู้ลงทุนคุณภาพ ด้วยการส่งเสริมวัฒนธรรมการลงทุนระยะยาวผ่านบัญชีลงทุนส่วนบุคคล (Individual Investment Account,ขยายฐานผู้ลงทุนรายใหม่ และเพิ่มบริการลงทุนให้ครอบคลุม,ส่งเสริมบทบาทนักลงทุนสถาบัน เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ประกัน และมูลนิธิ,พัฒนาเครื่องมือบริหารพอร์ต เช่น wealth aggregator เพื่อให้ผู้ลงทุนเห็นภาพรวมการลงทุนของตน

2. Attractive Supply – ดึงธุรกิจคุณภาพเข้าสู่ตลาด ผ่านการส่งเสริมให้กิจการที่มีศักยภาพเข้าจดทะเบียนในตลาดทุนไทย,ยกระดับคุณภาพบริษัทจดทะเบียนผ่านโครงการ Jump+ และ Value Up,ปรับขั้นตอน IPO ให้มีประสิทธิภาพและแข่งขันได้ในระดับภูมิภาค,เปิดทางให้ SMEs และธุรกิจ New Economy เข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น และส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูล ESG ตามมาตรฐานสากล (ISSB)

3. Trusted Market – สร้างความเชื่อมั่นในระบบตลาดทุน ด้วยการยกระดับธรรมาภิบาลและการบังคับใช้กฎหมายของบริษัทจดทะเบียน,พัฒนาการกำกับดูแลผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุน (gatekeepers) และใช้เทคโนโลยีเพิ่มการเข้าถึงข้อมูลของบริษัทขนาดกลางและเล็ก

4. Supportive Ecosystem – สร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการลงทุน ผ่านการเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบธุรกิจในการออกผลิตภัณฑ์ลงทุนที่หลากหลาย,ใช้เทคโนโลยีเพื่อให้ผู้ลงทุนรายย่อยเข้าถึงตลาดทุนได้ง่ายขึ้น,ปรับหลักเกณฑ์การซื้อขายให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้ลงทุน และอำนวยความสะดวกให้นักลงทุนต่างชาติใช้สิทธิ e-proxy ได้ง่ายขึ้น

หวังตลาดทุนเป็นเสาหลักเศรษฐกิจ

ดร.วโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ระบุว่า ภาครัฐมีความตั้งใจที่จะผลักดันให้ตลาดทุนไทยเติบโตอย่างมีศักยภาพ และสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม  ตลาดทุนไทยเคยเป็นหนึ่งในจุดหมายสำคัญของนักลงทุนต่างชาติ แต่ในช่วงหลังเผชิญกับอุปสรรคหลายด้าน จึงเกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นและแก้ไขข้อจำกัดที่เคยมีอยู่

หน่วยงานด้านตลาดทุนจึงได้ร่วมกันหารือมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะในด้านการเพิ่มสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจ การดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และการยกระดับคุณภาพชีวิตทางการเงินของประชาชน พร้อมทั้งฟื้นฟูความเชื่อมั่นที่อาจลดลงในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา ด้วยการยกระดับธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และการดำเนินงานตามหลัก ESG

เป้าหมายหลักของการดำเนินงาน คือการทำให้ตลาดทุนไทยเป็นแหล่งระดมทุนระยะยาวสำหรับผู้ประกอบการ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยการดึงดูดธุรกิจที่มีศักยภาพเข้ามา จะช่วยให้ตลาดทุนไทยมีความน่าสนใจและเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จะช่วยเพิ่มโอกาสในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในหลายสาขา และขยายฐานนักลงทุนให้มีบทบาทมากขึ้นในตลาดผ่านการส่งเสริมการออมและการลงทุนระยะยาว

นอกจากนี้ ยังมีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลและการดำเนินงานของตลาดทุน รวมถึงการสนับสนุนการออมในรูปแบบส่วนบุคคลและผ่านนักลงทุนสถาบัน เพื่อเสริมสร้างวินัยทางการเงินและความมั่นคงในระยะยาวให้กับประชาชน

มาตรการทั้งหมดนี้สอดคล้องกับแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 4 (ปี 2565–2570) ซึ่งถือเป็นแนวทางที่สามารถสร้างผลลัพธ์เชิงประจักษ์ในระยะสั้น และส่งผลต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะหน่วยงานด้านนโยบายเศรษฐกิจและการคลังของประเทศ พร้อมสนับสนุนและร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการผลักดันมาตรการที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน

“ตลาดทุนที่มีระบบบริหารจัดการที่ดีและมีศักยภาพ ย่อมสามารถดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลก พร้อมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทยในเวทีเศรษฐกิจโลก”ดร.วโรทัย กล่าว

กระดับบจ.+ดึงธุรกิจอนาคต

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า ความร่วมมือของคณะทำงาน Taskforce ครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการยกระดับศักยภาพ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความน่าสนใจให้กับตลาดทุนไทย โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมผลักดันมาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดทุนอย่างเต็มที่ ทั้งในด้านการดึงดูดกิจการ New Economy ที่มีศักยภาพเข้าจดทะเบียน การยกระดับคุณภาพบริษัทจดทะเบียนผ่านโครงการ Jump+

รวมถึงการปรับเกณฑ์การเข้าตลาดแบบ Backdoor Listing ให้เข้มงวดขึ้น เพื่อคัดกรองคุณภาพของบริษัทให้เทียบเท่ากับการเข้าตลาดผ่าน IPO การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มการเข้าถึงข้อมูลของผู้ลงทุน และการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลายให้ตอบโจทย์ผู้ลงทุนทุกกลุ่ม รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น

“มุ่งมั่นที่จะทำให้ตลาดทุนไทยเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง พร้อมรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและการแข่งขันระดับภูมิภาค โดยเน้นการพัฒนาคุณภาพตลาด สร้างความน่าเชื่อถือ และยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแล เพื่อให้ตลาดทุนไทยเป็นแหล่งระดมทุนที่มีประสิทธิภาพ”นายอัสสเดช กล่าว

นายอัสสเดช กล่าวย้ำ มาตรการด้าน Attractive Supply  ยึดหลัก Back to Basic โดยมุ่งปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่ให้ดีขึ้นและน่าสนใจมากขึ้น เพื่อดึงดูดนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศให้เข้ามามีส่วนร่วมในตลาดทุนไทย โครงการที่ดำเนินอยู่ เช่น Value Up Program,Good Governance  ,โครงการ Jump + ได้รับผลตอบรับที่ดี โดยมีบริษัทเข้าร่วมแล้ว 61 แห่งแล้ว และยังคงเชิญชวนบริษัทขนาดใหญ่ให้เข้าร่วมเพิ่มเติม เพื่อเป็นผู้นำในการสร้างเสน่ห์ให้กับตลาดทุนไทย

นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนากฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และเตรียมจัดตั้ง Working Group เพื่อผลักดันเรื่อง Quality Listing ให้บริษัทที่มีศักยภาพสามารถเข้ามาระดมทุนได้สะดวกขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจที่สามารถแข่งขันในระดับโลก

นายอัสสเดช กล่าวว่า หนึ่งในเสน่ห์ของตลาดทุนไทยที่หายไป คือการที่ตลาดยังคงมีภาพลักษณ์เป็น “Old Industry” ดังนั้นตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงมีบทบาทสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจแห่งอนาคต โดยจะสนับสนุนธุรกิจใหม่ และ Startup ให้สามารถเติบโตและเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น ทั้งในตลาด LiVEx,mai และ SET เพิ่มขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มสภาพคล่องในตลาด LiVEx ด้วยการปรับปรุงด้านกฎระเบียบและความสะดวกในการเข้าจดทะเบียน เป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ไทยสามารถเป็นศูนย์กลางทางการเงิน ของภูมิภาค โดยอาศัยจุดแข็งที่มีอยู่ เช่น ขนาดตลาดและนักลงทุนรายย่อยที่มีความเคลื่อนไหวสูง

ในด้าน ESG มุ่งส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลตามมาตรฐานสากล เพื่อให้ธุรกิจไทยสามารถแข่งขันในระดับโลก โดยเฉพาะในตลาดยุโรปที่มีข้อกำหนดด้านความยั่งยืนที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่บริษัทจดทะเบียนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด เพื่อให้ธุรกิจไทยสามารถส่งออกและแข่งขันในตลาดยุโรปและโลกได้อย่างมั่นใจ
ไม่ใช่แค่การซื้อขายหุ้น แต่ต้องเป็นศูนย์กลางในการยกระดับธุรกิจไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก โดยเฉพาะ

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มการเข้าถึงข้อมูล และการปรับกฎเกณฑ์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้ลงทุน คือหัวใจของการสร้างตลาดทุนที่มีประสิทธิภาพ และหากไทยสามารถทำให้ตลาดทุนเป็น Financial Hub ของภูมิภาคได้จริง ก็จะเป็นการเปลี่ยนโฉมเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

มัดรวมการออมระยะยาว

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า การปฏิรูปตลาดทุนไทยครั้งนี้ไม่ใช่แค่การปรับปรุงเล็กน้อยหรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเหมือนที่ผ่านมา แต่เป็นการจัดระบบใหม่ทั้งหมดอย่างจริงจัง โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างโครงสร้างที่มั่นคงและยั่งยืน พร้อมวางรากฐานให้ตลาดทุนไทยสามารถรองรับอนาคตของประเทศได้อย่างแท้จริง

ความร่วมมือครั้งนี้เกิดจากการเชิญทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม ไม่ใช่แค่กลุ่มผู้กำกับดูแล แต่รวมถึงภาคอุตสาหกรรม สมาคมต่าง ๆ และนักลงทุนทุกกลุ่ม เพื่อให้การขับเคลื่อนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และเกิดพลังร่วมในการผลักดันมาตรการสำคัญ

หนึ่งในประเด็นหลักคือ การยกระดับคุณภาพของตลาดทุน โดยไม่เน้นแค่ปริมาณ แต่สร้างทั้ง Quality Supply และ Quality Demand ไปพร้อมกัน ฝั่ง Supply คือการผลักดันให้บริษัทที่อยู่ในตลาดมีคุณภาพสูงขึ้น เช่นผ่านโครงการ Jump Plus และการส่งเสริมธุรกิจในกลุ่มใหม่ ๆ ที่มีเสน่ห์และศักยภาพในการเติบโต ส่วนฝั่ง Demand คือการสร้างนักลงทุนที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มรายย่อยและสถาบัน

มาตรการสำคัญที่ตกผลึกแล้วมีสองด้านหลัก ด้านแรก คือการปฏิรูปการออมครั้งใหญ่ของประเทศ ผ่านแนวคิด Individual Investment Account หรือที่เคยศึกษาโครงการ TISA  บัญชีการลงทุนส่วนบุคคล ที่จะรวมการออมทุกประเภทไว้ในกรอบเดียวอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นการออมเพื่อเกษียณ การออมเพื่อการลงทุนในสินทรัพย์ใหม่ เช่น ESG หรือการออมเพื่อบุตรหลานในอนาคต โดยผู้ปกครองสามารถออมแทนลูกได้ตั้งแต่ยังเล็ก และโอนสิทธิ์เมื่อถึงวัยที่เหมาะสม

แนวคิดนี้จะช่วยให้ประชาชนมีแผนการออมที่ชัดเจน มีระบบที่รองรับ และสามารถสร้างพลังในการลงทุนระยะยาวได้อย่างแท้จริง ซึ่งจะส่งผลดีต่อทั้งตลาดทุนและเศรษฐกิจโดยรวมในระยะยาว

ด้านที่สอง คือการส่งเสริมบทบาทของนักลงทุนสถาบัน โดยเฉพาะในกลุ่มที่ลงทุนระยะยาว เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญ และบริษัทประกันภัย ซึ่งจะเป็นเสาหลักของตลาดทุนไทยในระยะยาว การปรับเกณฑ์บางประการเพื่อให้กลุ่มเหล่านี้สามารถลงทุนได้มากขึ้นและมีผลตอบแทนที่ดีขึ้น จะช่วยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนระยะยาวในระบบได้อย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ ยังมีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น BOI กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน เช่นเรื่อง Proxy หรือ IPO รวมถึงการออกแบบสิทธิประโยชน์และกรอบกฎหมายให้รองรับการออมและการลงทุนในรูปแบบใหม่

ดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจจะมีข้อจำกัด แต่หลายมาตรการที่เสนอสามารถดำเนินการได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้งบประมาณจากภาครัฐมากนัก เพราะเป็นการปรับโครงสร้างและกระบวนการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หากทำสำเร็จภายใน 4 เดือน จะถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดทุนไทย และเป็นการวางรากฐานใหม่ให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

“การปฏิรูปตลาดทุนไทยครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีความสำคัญและจริงจังที่สุดในรอบหลายปี เพราะที่ผ่านมา การแก้ไขมักเป็นเพียงการปรับปรุงเฉพาะหน้า หรือเพิ่มเติมแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้จัดระบบใหม่อย่างเป็นรูปธรรมเหมือนครั้งนี้ แต่ครั้งนี้มีเป้าหมายชัดเจน คือการจัดระบบตลาดทุนให้เข้ารูปเข้ารอย พร้อมสร้างโครงสร้างใหม่ที่รองรับอนาคต โดยเฉพาะเพื่อประโยชน์ของคนรุ่นใหม่ ซึ่งไม่เคยถูกออกแบบไว้ในมาตรการเดิมมาก่อน หากดำเนินการได้สำเร็จ จะถือเป็นผลงานที่โดดเด่นของคณะทำงานชุดนี้ และเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดทุนไทย”ดร.กอบศักดิ์ กล่าว

ดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่า หนึ่งในหัวใจของการเปลี่ยนแปลงคือการปฏิรูปนโยบายการออมระยะยาว ที่จะมีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อวางกฎระเบียบการออมระยะยาว  หรือ Individual Investment Account  ให้ครอบคลุม มีโครงสร้างชัดเจน และคำนึงถึงผลกระทบในระยะยาว โดยเฉพาะการสร้างวินัยการออมและการลงทุนให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ ที่จะให้กรอบการทำงานแล้วเสร็จภายในปีนี้ และปี 2569 จะได้เริ่มปฏิบัติให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม

จาก 4 มาตรการดังกล่าว  จะมีการแก้ไขกฎเกณฑ์และกระบวนการถือเป็นกลไกสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพและเสน่ห์ของตลาดทุนไทย โดยไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณจากภาครัฐมากนัก หลายมาตรการสามารถดำเนินการได้ทันที เช่น เพื่อรองรับธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโต โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งเป็นที่ต้องการของนักลงทุนทั่วโลก สะท้อนผ่านการติดต่อเข้ามาทาง BOI ได้รับความสนใจจากบริษัทต่างชาติจำนวนมากที่ต้องการลงทุนในไทย หากสามารถปรับกระบวนการให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มธุรกิจใหม่ จะช่วยสร้าง supply ใหม่ให้กับตลาดทุนไทย และเพิ่มความหลากหลายของหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว

ทั้ง 4 หน่วยงาน ทั้ง ก.ล.ต. ตลาดหลักทรัพย์ สภาธุรกิจตลาดทุน และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง จะขับเคลื่อนพร้อมกัน โดยตั้งเป้าว่าภายใน 4 เดือน ทุกมาตรการต้องมีแผนงานที่ชัดเจน และสามารถปลดล็อกข้อจำกัดสำคัญได้อย่างเป็นรูปธรรม

“หากทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างจริงจัง การปฏิรูปครั้งนี้จะไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงระยะสั้น แต่จะเป็นการวางรากฐานใหม่ให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว พร้อมสร้างตลาดทุนที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และสามารถแข่งขันได้ในระดับสากล”ดร.กอบศักดิ์ กล่าว

เสริมจุดแข็งตลาดทุนไทย

ศาสตราจารย์ ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ตลาดทุนไทยยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แม้จะเผชิญกับแรงกดดันจากหลายปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ

ทั้งนี้ ที่ผ่านมามูลค่าตลาดหุ้นไทย (Market Cap) เมื่อเทียบกับ GDP เติบโตอย่างต่อเนื่องจากประมาณ 20% ในปี 2543 ขึ้นมาแตะระดับ 100% ในปี 2567 ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียน อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มูลค่าดังกล่าวปรับลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 75% ของ GDP

ตลาดหุ้นไทยได้รับการจัดอันดับอยู่ในดัชนีความยั่งยืน (Sustainability Index) ในระดับต้นของภูมิภาค,น้ำหนักของหุ้นไทยในดัชนี MSCI Asia ex Japan อยู่ที่ 44% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา,จำนวนหุ้นไทยที่อยู่ในดัชนี MSCI ลดลงจาก 42 บริษัท เหลือเพียง 19 บริษัท

ขณะที่ การออกหุ้นใหม่ (IPO) ชะลอตัวลงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะ IPO ขนาดใหญ่และ IPO ในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี,อัตราหมุนเวียนการซื้อขาย (Turnover Ratio) ของตลาดหุ้นไทยเคยสูงที่สุดในอาเซียน แต่ปัจจุบันลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ด้านอัตราการจ่ายเงินปันผล (Payout Ratio) ของบริษัทไทยอยู่ที่ 66% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดประเทศหนึ่งในภูมิภาค ในขณะที่ดัชนี Price-to-Book อยู่ในระดับต่ำที่ 1.1 เท่า ขณะที่อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ในระดับปานกลางที่ 6.8%

นักลงทุนรายย่อยมีสัดส่วนการซื้อขายสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค แต่มีแนวโน้มลดลง ในขณะที่อัตราการออมของครัวเรือนไทยยังคงเติบโตที่ 7.4% แม้จะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) ที่ 9%

ในขณะที่ ปัจจุบันและอนาคต ตลาดทุนไทย เผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอก,ต้องแข่งขันกับตลาดทุนต่างประเทศและทางเลือกการลงทุนใหม่ ๆ ,ตลาดยังพึ่งพาอุตสาหกรรมดั้งเดิมเป็นหลัก ซึ่งมีสัดส่วนถึง 80% ของมูลค่าตลาดรวม, ความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนได้รับผลกระทบจากกรณีการกระทำผิดในอดีตของผู้ร่วมตลาด,ผลิตภัณฑ์และบริการของตัวกลางทางการเงินยังมีข้อจำกัด และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและดิจิทัลส่งผลต่อโครงสร้างและพฤติกรรมของตลาดอย่างต่อเนื่อง

ความท้าทายเหล่านี้ ทำให้เกิดความร่วมมือและหาทางออกร่วมกันระหว่างภาคเอกชนและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือการผลักดันให้ตลาดทุนไทยเป็นกลไกที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว