HoonSmart.com>> ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวก 238 จุด S&P 500 ทำสถิติสูงสุดใหม่ นักลงทุนมองแนวโน้มสดใสของปัญญาประดิษฐ์ (AI) แม้ปิดหน่วยงานรัฐบาลต่อเนื่องเป็นวันที่สาม ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” ปรับตัวลดลง ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดบวกที่ระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน แรงหนุนหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์และกลุ่มเหมืองแร่
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 3 ตุลาคม 2568 และดัชนี S&P 500 ทำสถิติสูงสุดใหม่ เนื่องจากนักลงทุนมองไปที่แนวโน้มที่สดใสของปัญญาประดิษฐ์(AI) แม้การปิดหน่วยงานของรัฐบาลต่อเนื่องเป็นวันที่สามและทำให้การเผยแพร่รายงานการจ้างงานรายเดือนล่าช้าก็ตาม
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 46,758.28 จุด เพิ่มขึ้น 238.56 จุด, +0.51%
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,715.79 จุด เพิ่มขึ้น 0.44 จุด, +0.01%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,780.51 จุด ลดลง 63.54 จุด, -0.28%
หุ้นร่วงลงเล็กน้อยในการซื้อขายช่วงบ่าย เนื่องจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหลักๆ อย่าง Palantir Technologies, Tesla และ Nvidia ปรับตัวลดลง โดย Palantir ร่วงลง 7.5% และนำอ่อนตัวลงของดัชนี S&P 500 ขณะที่ Tesla และ Nvidia ร่วงลงมากกว่า 1% และเกือบ 1% ตามลำดับ ดัชนี CBOE Volatility Index มาตรวัดความผันผวนของตลาด พุ่งสูงขึ้น ส่งสัญญาณว่านักลงทุนบางส่วนกำลังเร่งซื้อสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันการร่วงลงของดัชนี S&P 500 ในอนาคต
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์บวก 1.1% ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 1.1% และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 1.3%
ในระยะแรกนักลงทุนมองข้ามสถานการณ์ปิดทำการของรัฐบาล แต่เริ่มกังวลหลังการปิดทำการเข้าสู่วันที่สาม เนื่องจากมีการเลื่อนการเปิดเผยข้อมูลออกไป ทำให้ตลาดและธนาคารกลางสหรัฐฯ ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไร้ข้อมูล ตลาดได้หันไปพึ่งข้อมูลเอกชนจำนวนมาก ซึ่งยืนยันถึงภาวะชะลอตัวลงอย่างรุนแรงของตลาดแรงงานในสัปดาห์นี้
เจนนิเฟอร์ ทิมเมอร์แมน นักวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุนอาวุโสจาก Wells Fargo Investment Institute มองว่าข้อมูลที่มาจากภาคเอกชนและหลากหลายของเดือนกันยายน ซึ่งทดแทนรายงานการจ้างงานที่ล่าช้าของกระทรวงแรงงานนั้นชะลอตัวลงมากพอที่จะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) วันที่ 29 ตุลาคม
อย่างไรก็ตามนักลงทุนคาดการณ์ว่าสถานการณ์นี้จะเป็นเพียงระยะสั้น ซึ่งจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯจำกัด นักลงทุนยังเชื่อว่าภาวะปิดทำการจะไม่สามารถหยุดยั้งการเดินหน้าของธุรกิจ AI ได้ และที่ผ่านมาการปิดทำการไม่ใช่ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ราคาหุ้นก็ยังคงพุ่งขึ้นทำสถิติใหม่อย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากกระแส AI ที่ยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง มูลค่าของ OpenAI เพิ่มขึ้นเป็น 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้บริษัทกลายเป็นสตาร์ทอัพที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก
ในวันศุกร์ ข้อตกลงด้าน AI ใหม่ ๆ หนุนความเชื่อมั่น Hitachi LTD ร่วมมือกับ OpenAI ในโครงการพลังงาน ขณะที่ Fujitsu ขยายความร่วมมือกับ Nvidia
ขณะที่กลุ่มธุรกิจอื่น ๆ ยังคงปรับขึ้นโดดเด่น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเภสัชภัณฑ์ ซึ่งเป็นสัปดาห์ที่ดีที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ โดยหุ้นBio-Techne และ Charles River Laboratories เป็นผู้นำ ราคาหุ้นของทั้งสองบริษัทพุ่งสูงขึ้นกว่า 20% นับตั้งแต่สัปดาห์ก่อน แต่หุ้น Insulet และ Quest Diagnostics ที่ร่วงลงมากกว่า 2% และ 5% ตามลำดับ จำกัดการปรับขึ้นของกลุ่ม
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกที่ระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน โดยหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์และกลุ่มเหมืองแร่เป็นปัจจัยหลักที่หนุนราคาหุ้น ประกอบกับการคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนปรับตัวดีขึ้น
ดัชนี STOXX 600 ของยุโรปปิดตลาดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เป็นวันที่สามติดต่อกัน ส่งผลให้สัปดาห์นี้เพิ่มขึ้น 2.8%
ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 570.45 จุด เพิ่มขึ้น 2.85 จุด, +0.50%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,491.25 จุด เพิ่มขึ้น 63.52 จุด, +0.67%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,081.54 จุด เพิ่มขึ้น 24.91 จุด, +0.31%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,378.80 จุด ลดลง 43.76 จุด, -0.18%
หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์เป็นหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุด โดยเพิ่มขึ้น 1.3% หุ้น AstraZeneca และ Novo Nordisk เพิ่มขึ้น 1.6% และ 2.1% ตามลำดับ กลุ่มนี้ปรับขึ้นดีกว่ากลุ่มอื่นๆ ในสัปดาห์นี้ หลังจากข้อตกลงราคายาของ Pfizer ในสหรัฐฯ ช่วยคลายความไม่แน่นอนลง
นักวิเคราะห์จาก UBS Global Wealth Management ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แม้ข้อตกลงของ Pfizer จะไม่ใช่สัญญาณที่ชัดเจนสำหรับกลุ่มธุรกิจนี้ เนื่องจากยังขาดรายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับภาษีศุลกากร แต่ความเชื่อมั่นในระยะสั้นที่เพิ่มขึ้นและปัจจัยขับเคลื่อนที่แข็งแกร่งในระยะยาวน่าจะช่วยสนับสนุนแนวโน้มเชิงบวก
หุ้นธนาคารเพิ่มขึ้น 1% โดยหุ้น Raiffeisen พุ่งขึ้น 7.4% หลังจากที่ Financial Times รายงานว่าสหภาพยุโรปกำลังพิจารณายกเลิกมาตรการคว่ำบาตรสินทรัพย์ที่เชื่อมโยงกับ Oleg Deripaska มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย เพื่อชดเชยให้กับธนาคารออสเตรีย
หุ้น ABN Amro ธนาคารเนเธอร์แลนด์เพิ่มขึ้น 2.7% หลังจากที่ Goldman Sachs ปรับคำแนะนำการลงทุนเป็นซื้อจากขาย
กลุ่มทรัพยากรพื้นฐานซึ่งมีบริษัทเหมืองแร่ชั้นนำของยุโรปอยู่เพิ่มขึ้น 1.7% ตามราคาโลหะพื้นฐานที่สูงขึ้น
เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ เผชิญภาวะชัตดาวน์ รายงานการจ้างงานที่สำคัญของสหรัฐฯ ซึ่งเดิมทีคาดว่าจะประกาศในวันศุกร์ จึงถูกเลื่อนออกไป ในช่วงเวลาที่ตลาดและธนาคารกลางสหรัฐฯ กำลังให้ความสำคัญกับข้อมูลตลาดแรงงานเพื่อประเมินแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม
ความหวังที่เฟดจะมีนโยบายที่ผ่อนคลายและการฟื้นตัวของภาคการดูแลสุขภาพ ได้ช่วยผลักดันให้ดัชนี STOXX 600 ทำสถิติสูงสุดใหม่ ส่งผลให้ช่องว่างระหว่างดัชนีกับวอลล์สตรีทแคบลง ดัชนี STOXX เพิ่มขึ้น 12.4% นับตั้งแต่ต้นปี เทียบกับดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14.7%
เทรดเดอร์คาดการณ์ว่ามีโอกาสเกือบแน่นอนที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปลายเดือนนี้ ตามข้อมูลจากเครื่องมือ FedWatch ของ CME หลังจากรายงานการจ้างงานภาคเอกชนที่อ่อนแอในช่วงต้นสัปดาห์นี้
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่เผยแพร่ การเติบโตของภาคบริการในยูโรโซนเร่งตัวขึ้นเล็กน้อยในเดือนกันยายนสู่ระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน และภาคบริการของเยอรมนีก็เติบโตที่เร็วที่สุดในรอบ 8 เดือนเช่นกัน แต่ในฝรั่งเศส ภาคบริการหลักเดือนกันยายน หดตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่กิจกรรมทางธุรกิจของอังกฤษโตในอัตราที่ช้าที่สุดในรอบ 5 เดือน
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ลดลง 40 เซนต์ หรือ 0.66% ปิดที่ 60.88 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้น 42 เซนต์ หรือ 0.66% ปิดที่ 64.53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
———————————————————————————————————————————————————–

