HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง 3 ดัชนีหลักปิดบวกทำนิวไฮ ดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 78 จุด แรงหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี จากการซื้อขายในธีม AI นักลงทุนวิเคราะห์ข้อมูลตลาดแรงงานภาคเอกชนอย่างระมัดระวัง ในวันที่สองของการปิดทำการหน่วยงานรัฐบาล ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ WTI” ร่วง 1.30 ดอลลาร์ ปิดที่ 60.48 ดอลลาร์/บาร์เรล ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดตลาดสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 2 ตุลาคม 2568 รวมทั้งดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ปิดตลาดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง ด้วยการปรับขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจากการซื้อขายในธีม AI ขณะที่นักลงทุนวิเคราะห์ข้อมูลตลาดแรงงานภาคเอกชนอย่างระมัดระวัง ในวันที่สองของการปิดทำการหน่วยงานรัฐบาล และยังคงจับตาสถานการณ์ในกรุงวอชิงตัน รวมไปถึงประเมินความเป็นไปได้ที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะปิดทำการเป็นเวลานาน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 46,519.72 จุด เพิ่มขึ้น 78.62 จุด, +0.17%
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,715.35 จุด เพิ่มขึ้น 4.15 จุด, +0.06%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,844.05 จุด เพิ่มขึ้น 88.89 จุด, +0.39%
กลุ่มเทคโนโลยีปรับขึ้นจากการนำของหุ้น Nvidia ซึ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากนักลงทุนยังคงแห่เข้าซื้อหุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านปัญญาประดิษฐ์ Nvidia เพิ่มขึ้น 0.9% หุ้น Apple บวก 0.6% และหุ้น Broadcom เพิ่มขึ้น 1.4%
มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของ OpenAI พุ่งสูงถึง 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากการขายหุ้นให้พนักงาน เพิ่มความหวังต่อการฟื้นตัวของบริษัทเทคโนโลยี แม้จะกังวลเรื่องฟองสบู่ AI ก็ตาม และ ChatGPT แซงหน้า SpaceX ของอีลอน มัสก์ ขึ้นเป็นสตาร์ทอัพที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก
หุ้น Tesla ลดลง 5.11% แม้ยอดขายรายไตรมาแข็งแกร่ง เนื่องจากนักลงทุนหันไปให้ความสำคัญกับผลการดำเนินงานในอนาคตที่ไม่ได้รับเครดิตภาษีรถยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลกลาง
การปิดหน่วยงานรัฐทำให้ไม่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการจากรัฐบาล กระทรวงแรงงานต้องเลื่อนการรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมประจำเดือนกันยายนออกไป นักลงทุนจึงหันไปมองงข้อมูลจากแหล่งอื่นๆแทน รายงานจากบริษัทจัดหางานระดับโลก Challenger, Gray & Christmas ระบุว่า นายจ้างในสหรัฐฯ ประกาศการเลิกจ้างน้อยลงในเดือนกันยายน แต่แผนการจ้างงานในปีนี้จนถึงขณะนี้อยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2009 ซึ่งสอดคล้องกับรายงานการจ้างงานระดับชาติของ ADP ในวันก่อนหน้าที่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้
ADP รายงานเมื่อวันพุธว่า การจ้างงานของภาคเอกชนเดือนกันยายน ลดลง 32,000 ตำแหน่ง ซึ่งลดลงมากที่สุดในรอบ 2 ปีครึ่ง นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2023
ข้อมูลการจ้างงานที่ซบเซามาจนถึงตอนนี้ทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ รวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายเดือนตุลาคม
จนถึงขณะนี้ ตลาดยังไม่ได้รับผลกระทบจากการปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาล ซึ่งดูเหมือนจะยืดเยื้ออย่างน้อยไปจนถึงสิ้นสัปดาห์ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กำลังใช้ถ้อยคำโจมตีพรรคเดโมแครตอย่างรุนแรง โดยขู่ว่าจะปลดพนักงานรัฐบาลกลาง “หลายพันคน” และยกเลิกเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลกลางหลายพันล้านดอลลาร์ที่ให้แก่รัฐที่สมาชิกสภาจากพรรคเดโมแครต
แต่ความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสก็อตต์ เบสเซนต์ ที่ให้สัมภาษณ์ CNBC เมื่อวันพฤหัสบดีว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) อาจ ได้รับผลกระทบ จากการปิดหน่วยงานรัฐบาลในปัจจุบัน ยิ่งเพิ่มความกังวลให้กับนักลงทุนว่า ภาวะเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบมากขึ้นหากการปิดหน่วยงานรัฐบาลยังคงยืดเยื้อ
แม้ในอดีตตลาดจะไม่ได้รับผลกระทบจากการปิดทำการของรัฐบาลมากนัก แต่นักลงทุนกำลังจับตามองสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิดมากขึ้น เนื่องจากนโยบายและเศรษฐกิจมหภาคที่ผันผวนมากขึ้น มูลค่าตลาดที่สูงขึ้น และการกระจุกตัวของการซื้อขายด้วย AI รอบใหม่ และความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ
หุ้น Occidental Petroleum ผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซ ร่วงลง 7.3% หลังจากบรรลุข้อตกลงขายกิจการ OxyChem ซึ่งเป็นธุรกิจปิโตรเคมีของบริษัท ให้กับบริษัท Berkshire Hathaway ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ด้วยมูลค่า 9.7 พันล้านดอลลาร์
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งที่สอง โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและหุ้นที่เกี่ยวข้องกับชิป ขณะเดียวกัน ความคาดหวังต่อการลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในเดือนนี้ก็ช่วยหนุนความเชื่อมั่นเช่นกัน
ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากก่อนหน้านี้เคยแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ระหว่างวัน ตลาดหุ้นในภูมิภาคส่วนใหญ่ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน โดยเยอรมนีเป็นตลาดหลักที่เพิ่มขึ้นกว่า 1%
ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 567.60 จุด เพิ่มขึ้น 2.98 จุด, +0.53%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,427.73 จุด ลดลง 18.70 จุด, -0.20%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,056.63 จุด เพิ่มขึ้น 89.68 จุด, +1.13%,
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,422.56 จุด เพิ่มขึ้น 308.94 จุด, +1.28%
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมเป็นปัจจัยหนุนดัชนีมากที่สุด โดยเพิ่มขึ้น 1.5% หุ้นขนาดใหญ่อย่าง Siemens เพิ่มขึ้น 4.2% และ Schneider เพิ่มขึ้น 2.3%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น 2.3% ตามหลังหุ้นที่เกี่ยวข้องกับชิปทั่วโลก ความเชื่อมั่นยังได้รับแรงหนุนมากขึ้นหลังจาก Samsung Electronics และ SK Hynix ของเกาหลีลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงเพื่อจัดหาชิปหน่วยความจำสำหรับศูนย์ข้อมูลของ OpenAI
หุ้น ASML เพิ่มขึ้น 4.3% และ ASMI พุ่งขึ้น 6.5% หนุนดัชนีหลักของเนเธอร์แลนด์สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
หุ้นกลุ่มยานยนต์เพิ่มขึ้น 2.4% โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้น Stellantis ที่พุ่งขึ้น 8.3% หลัง จากข้อมูลตลาดแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มยอดขายรถยนต์ใหม่ที่ดีขึ้นของกลุ่มบริษัทในอิตาลีและสหรัฐอเมริกา
หุ้น Ferrari เพิ่มขึ้น 2.7% หลังจากที่ HSBC ปรับเพิ่มคำแนะนำการลงทุนของผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอิตาลีรายนี้จากถือเป็นซื้อ
หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ยังคงปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องจากช่วงก่อนหน้า หลังจากข้อตกลงราคายาตามใบสั่งแพทย์ระหว่างสหรัฐฯ และ Pfizer เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ช่วยลดความไม่แน่นอนบางส่วนในกลุ่มนี้
นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์การปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้การเผยแพร่ข้อมูลการจ้างงานที่สำคัญในวันศุกร์ล่าช้าออกไป และเพิ่มความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความสามารถของเฟดในการประเมินภาวะเศรษฐกิจ
แนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงของเฟดเป็นปัจจัยล่าสุดที่หนุนหุ้นยุโรป โดยกลุ่มธนาคารและกลุ่มอุตสาหกรรม เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีผลงานดีที่สุดในปีนี้
รายงานการจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐที่อ่อนแอในวันพุธ ทำให้การคาดการณ์ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยลง 0.25% ในเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้นเป็น 99% จากเกือบ 86% ในสัปดาห์ที่แล้ว ตามข้อมูลของ FedWatch Tool ของ CME
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ลดลง 1.30 ดอลลาร์ หรือ 2.1% ปิดที่ 60.48 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคมและราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 1.24 ดอลลาร์ หรือ 1.9% ปิดที่ 64.11 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน
———————————————————————————————————————————————————–

