KBANK ปรับเป้าสินเชื่อยั่งยืน 5 แสนลบ. ปี’73 มุ่งสู่ผู้ให้บริการโซลูชันภูมิอากาศครบวงจร

HoonSmart.com>>ธนาคารกสิกรไทย เดินหน้าลงทุนอนาคต ร่วมขับเคลื่อนไทยสู่เขตคาร์บอนต่ำ ขยับเป้าสินเชื่อและการลงทุนเพื่อความยั่งยืนใหม่ที่ 4-5 แสนล้านบาทภายในปี 2573 หลังทะลุ 1.73 แสนล้านบาทแล้ว ก้าวเป็นผู้สร้าง Carbon Ecosystem ที่ครบวงจร ตั้งแต่แพลตฟอร์ม Green Living ไปจนถึงศูนย์วิจัยโลกร้อน และการเป็นที่ปรึกษาด้าน Climate ให้ภาคธุรกิจ หวังขึ้นแท่นผู้ให้บริการโซลูชันด้านสภาพภูมิอากาศที่ครอบคลุมที่สุด

นายจงรัก รัตนเพียร ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า ธนาคารได้ปรับเพิ่มเป้าหมายการให้สินเชื่อและเงินลงทุนเพื่อความยั่งยืนกว่าสองเท่าเป็น 4-5 แสนล้านบาท ภายในปี 2573 และตั้งเป้าหมายที่จะเป็น “The Most Comprehensive Climate Solution Provider – ผู้ให้บริการโซลูชันด้านสภาพภูมิอากาศที่ครอบคลุมที่สุด” จากยอดสินเชื่อ ณ สิ้นส.ค.2568 มียอดสะสมของสินเชื่อดังกล่าวกว่า 1.73 แสนล้านบาท สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 2.74 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ประกอบด้วยสินเชื่อรถยนต์ไฟฟ้ากว่า 39,000 คัน สินเชื่อเพื่ออาคารสีเขียวมากกว่า 1 ล้านตารางเมตร สินเชื่อสำหรับโครงการทางธุรกิจเพื่อความยั่งยืนกว่า 500 โครงการ รวมถึงการดำเนินงานในมิติ Beyond Banking

การปรับเพิ่มเป้าสินเชื่อยั่งยืนเป็น 4-5 แสนล้านบาท ภายในปี 2573 เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนมุ่งมั่นพัฒนา Beyond Banking Solution เพื่อส่งมอบ Climate Solution ที่จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพให้แก่ลูกค้า และส่งเสริมการสร้าง Carbon Ecosystem ที่ครอบคลุมทุกมิติของการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ ได้แก่
การเป็นที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับภาคธุรกิจที่ต้องการปรับตัว
พัฒนาเครื่องมือ KClimate1.5 สำหรับการจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจก
จัดตั้ง Creative Climate Research Center เป็นศูนย์กลางองค์ความรู้และความร่วมมือเพื่อรับมือกับปัญหาโลกร้อน
ริเริ่มโครงการต่างๆ เพื่อสร้าง Carbon Ecosystem ในสังคม เช่น Watt’s Up แพลตฟอร์มสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า แพลตฟอร์ม Green Pass สำหรับการขอใบรับรอง RECs และแพลตฟอร์ม K-GreenSpace ที่ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงโซลูชัน Green Living ได้ง่ายขึ้น

นับเป็นยุทธศาตร์ความยั่งยืนบนแนวทางใหม่ ที่เน้นจัดการแบบองค์รวม เชื่อมโยงมุมมองทุกด้านที่เกี่ยวข้อง กำหนดเป็นแกนกลางของการทำงาน ใน 3 เรื่องหลัก ประกอบด้วย
1.การเป็นธนาคารที่ทุกคนเชื่อมั่น พร้อมเคียงข้างผู้มีส่วนได้เสียในการก้าวผ่านความท้าทายเพื่อสร้างการเติบโตที่อย่างยั่งยืน ผ่านการบริการลูกค้า การกำกับดูแลกิจการ และการยึดมั่นในหลักจริยธรรม
2.การเสริมความยืดหยุ่นพร้อมก้าวสู่อนาคตร่วมกัน เพื่อพร้อมรับมือกับทุกความไม่แน่นอน และร่วมก้าวสู่โอกาสการเติบโตใหม่ ๆ ในอนาคต ผ่านการบริหารความเสี่ยง การสร้างนวัตกรรม และการพัฒนาขีดความสามารถ
3.การสร้างการเติบโตที่ครอบคลุมและทั่วถึง เพื่อให้เข้าถึงศักยภาพสูงสุดผ่านผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ครอบคลุม เสริมสร้างศักยภาพ และการสร้างความเสมอภาคทางการเงิน เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างทั่วถึง

ทั้งนี้ จะมีการส่งมอบโซลูชันการเงินที่ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่มในหลากหลายรูปแบบ อาทิ การสร้างการเข้าถึงสินเชื่อบุคคลให้แก่ลูกค้าสินเชื่อรายเล็กผ่าน KIV การส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมผ่าน KLeasing และการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมให้เปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานทางเลือกผ่านโซลูชันเพื่อธุรกิจโดย KF&E ตลอดจนการเสริมสร้างการลงทุนที่ยั่งยืนผ่าน KAsset ที่เพิ่มโอกาสการลงทุนในธุรกิจที่ขับเคลื่อนบนหลักการ ESG

ปัจจุบัน KAsset ครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ของประเทศใน ESG Fund และ SRI Fund ด้วยมูลค่าสินทรัพย์รวมภายใต้การจัดการ (AUM) กว่า 3.89 หมื่นล้านบาท และ 3.79 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ รวมทั้งมี Beacon Impact Fund ที่มุ่งเน้นการลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพที่สร้างผลกระทบเชิงบวก

การให้ ความรู้ทางการเงินและไซเบอร์ ผ่านแคมเปญ “สติ” แก่ประชาชน มีผู้รับรู้ไปแล้วกว่า 16.4 ล้านราย มีการเผยแพร่บทความเศรษฐกิจ ธุรกิจ และแนวโน้มความยั่งยืนที่ทันต่อสถานการณ์ มีผู้อ่านมากกว่า 6.58 ล้านราย โครงการ K SME Care ช่วยเสริมความรู้และทักษะให้แก่ผู้ประกอบการกว่า 1.8 ล้านราย การให้ความรู้ด้านการลงทุน ภายใต้แบรนด์ K Wealth มีผู้เข้าถึงข้อมูลผ่านเว็บไซต์กว่า 1.68 ล้านเพจวิว และรับชมคลิปบน YouTube มากกว่า 11.19 ล้านวิว โครงการ SKILLKAMP มีคอร์สเผยแพร่แล้ว 355 คอร์ส และมีผู้ลงทะเบียนเรียนกว่า 8,000 ราย การส่งเสริมสตาร์ทอัพผ่านโครงการ KATALYST ซึ่งมีผู้ประกอบการผ่านการเรียนรู้แล้ว 155 ราย

นายจงรัก กล่าวว่า มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero จากการดำเนินงานภายในของธนาคารเองในปี 2573 โดยปี 2567 ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 17.2% เมื่อเทียบกับปี 2563 ควบคู่กับการผลักดันให้พอร์ตโฟลิโอของธนาคารบรรลุเป้าหมาย Net Zero ตามกรอบที่ประเทศไทยกำหนดให้สอดคล้องกับเป้าหมาย NDC โดยมีแผนที่จะเข้าไปสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านอย่างใกล้ชิดใน 6 อุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มน้ำมันและก๊าซธรรมชาติต้นน้ำ กลุ่มเหมืองถ่านหินประเภทเชื้อเพลิงให้ความร้อน กลุ่มซีเมนต์ กลุ่มอลูมิเนียม และกลุ่มยานยนต์ ที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการทางการค้าจากประเทศคู่ค้าสำคัญ อาทิ EU CBAM ที่จะเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมคาร์บอนตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยเพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันครอบคลุมมูลค่าสินค้า 1.1 หมื่นล้านบาท เป็นราว 2.8 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2573 ดังนั้นธุรกิจที่ปรับตัวได้ก่อนจะสร้างความได้เปรียบ โดยพอร์ตโฟลิโออุตสาหกรรมโรงไฟฟ้า ปี 2567 มีระดับความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดลง 26% เมื่อเทียบกับปี 2563

ทั้งนี้ เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จึงร่วมกับพันธมิตรจากภาคเอกชน ภาครัฐ ภาคการเงิน และภาควิชาการ จัดตั้ง “เครือข่ายธุรกิจเพื่อการจัดการสภาพภูมิอากาศประเทศไทย” (Thailand Climate Business Network: Thai CBN) ซึ่งมีสมาชิกกว่า 34 องค์กร ร่วมกันผลักดันแนวปฏิบัติด้าน Climate ที่นำไปใช้ได้จริง ตั้งแต่ระดับ SME จนถึงข้อเสนอเชิงนโยบายระดับประเทศ โดยเครือข่าย Thai CBN ได้จัดทำ E-Handbook for Greener SMEs และ White Paper – Climate Ecosystem Collaboration ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างพลังร่วมระหว่างภาคธุรกิจและภาครัฐในการเร่งการเปลี่ยนผ่านประเทศ ให้ทุกชีวิตและทุกธุรกิจเดินหน้าผ่านพ้นทุกความท้าทายไปด้วยกัน เติบโตต่อไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน