HoonSmart.com>>ไทยยูเนี่ยน ผสานเทคโนโลยีการเงินเข้ากับพันธกิจเพื่อท้องทะเล ปิดดีลเงินกู้ยั่งยืนครบแผงรวม 2.4 หมื่นล้านบาท ทั้งคลับโลน 8 ธนาคาร 1 หมื่นล้านบาท และหุ้นกู้ 9 พันล้านบาท ยอดจองล้น 3.68 เท่า สร้างประวัติศาสตร์ดอกเบี้ยต่ำสุด 2.46% ธุรกิจประกันชีวิตจองซื้อมากสุด เตรียมเงินไปรีไฟแนนซ์ปลายปีนี้ 1.2 หมื่นล้านบาท ช่วยลดภาระดอกเบี้ย 500 ล้านบาทต่อปี ดันสัดส่วนเงินทุนระยะยาวด้านความยั่งยืนปี’68 แตะ 80% เกินเป้าที่วางไว้ 75% เดินหน้าสู่ 100% ในปี 2573

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) ผู้นำอุตสาหกรรมอาหารทะเลระดับโลก ประกาศความสำเร็จในการออกหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (ทรัพยากรทางทะเล) (Blue Bond) หุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-Linked Bond หรือ SLB) และสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability-Linked Loan หรือ SLL) ไปพร้อมกัน
การออกหุ้นกู้ครั้งนี้ได้รับความสนใจล้นหลามจากนักลงทุน ด้วยยอดจองซื้อทะลุเป้าถึง 3.68 เท่า จากเป้าหมายการระดมทุนที่ 7,000 ล้านบาท จึงได้เพิ่มมูลค่าการออกหุ้นกู้เป็น 9,000 ล้านบาท การระดมทุนในครั้งนี้ทั้งหมดส่งผลให้ไทยยูเนี่ยนบรรลุเป้าหมาย Blue Finance หรือการบริหารจัดการการเงินเพื่อการทำงานด้านการอนุรักษ์ท้องทะเล โดยสามารถระดมทุนจากแหล่งเงินทุนที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนได้เกินเป้าหมายปี 2568 ซึ่งกำหนดไว้ที่ 75% ของเงินกู้ยืมระยะยาวเป็นระดับที่ 80% พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมาย 100% ภายในปี 2573
“ความสำเร็จในครั้งนี้ถือเป็นการตอกย้ำวิสัยทัศน์ของเรา และสะท้อนจุดยืนที่ชัดเจนถึงการเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน ควบคู่ไปกับการรักษาความแข็งแกร่งทางการเงิน โดยนอกจากความสำเร็จด้านการระดมทุนแล้ว แรงสนับสนุนและความไว้วางใจจากนักลงทุนยังช่วยผลักดันให้ไทยยูเนี่ยนเดินหน้ากลยุทธ์ทางการเงินให้มีความสอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืน SeaChange® 2030 และพันธกิจของเราในการมุ่งสร้างสุขภาพที่ดี และท้องทะเลที่อุดมสมบูรณ์ ‘Healthy Living, Healthy Oceans’ เพื่อขับเคลื่อนอนาคตที่เท่าเทียมและยั่งยืนสำหรับอุตสาหกรรมอาหารทะเลทั่วโลก”นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) กล่าว
นายธีรพงศ์ กล่าวว่า ธุรกรรมล่าสุดในเดือนก.ย.มีมูลค่ารวม 19,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสินเชื่อ SLL จำนวน 10,000 ล้านบาท และหุ้นกู้จำนวน 9,000 ล้านบาท จากกลุ่มพันธมิตร 8 สถาบันการเงินชั้นนำ นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการออกหุ้นกู้แบบผสมผสานระหว่าง หุ้นกู้ Blue Bond มุ่งเน้นการจัดสรรเงินทุนโดยตรงไปยังโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและส่งเสริมเศรษฐกิจสีน้ำเงิน และหุ้นกู้ SLB ได้รับความต้องการที่ล้นหลามจากนักลงทุน ส่งผลให้ยอดจองหุ้นกู้สูงเกินกว่ายอดเสนอขาย ทำให้ไทยยูเนี่ยนสามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำสุดของช่วงเสนอขายในทุกช่วงอายุของหุ้นกู้ ซึ่งถือเป็นอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัท สะท้อนความเชื่อมั่นของตลาดต่อสถานะทางการเงินและวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนของบริษัท
ทั้งนี้ แยกเป็น หุ้นกู้ Blue Bond อายุ 4 ปี วงเงิน 2,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 1.70%
หุ้นกู้ SLB อายุ 7 ปี วงเงิน 2,200 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 2.20%
หุ้นกู้ SLB อายุ 10 ปี วงเงิน 5,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 2.46%
นอกจากนี้ สถานะทางการเงินของไทยยูเนี่ยนยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง โดยล่าสุดบริษัทได้รับการประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน จาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ไว้ที่ระดับ A+ ต่อเนื่อง
นายลูโดวิค การ์นิเยร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านการเงิน บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) กล่าวว่า ไทยยูเนี่ยนสามารถระดมทุนด้วยต้นทุนการกู้ยืมที่ต่ำที่สุดในประวัติการณ์ของบริษัท ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่เกินความคาดหมายสำหรับเรา ความสำเร็จนี้สะท้อนความเชื่อมั่นของตลาดต่อความแข็งแกร่งด้านการเงินและทิศทางกลยุทธ์ของบริษัท การออกหุ้นกู้ที่มีโครงสร้างแบบผสมผสาน ซึ่งเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และยอดจองหุ้นกู้ที่สูงกว่ายอดเสนอขายนั้น สะท้อนชัดเจนถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องสำหรับผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อความยั่งยืนที่มีความซับซ้อน เราขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านสำหรับการสนับสนุนเป็นอย่างดีตลอดมา
สำหรับสถาบันการเงินที่มีบทบาทในการจัดจำหน่ายหุ้นกู้และให้สินเชื่อในครั้งนี้ ได้แก่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และธนาคารกสิกรไทย (สำหรับทั้งหุ้นกู้และสินเชื่อ) ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ธนาคารกรุงไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ (สำหรับหุ้นกู้) และธนาคารแห่งประเทศจีน (ฮ่องกง) จำกัด ธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคาร มิซูโฮ จำกัด ธนาคารโอเวอร์ซี-ไชนีส แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น จำกัด สาขาสิงคโปร์ ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย และธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศสิงคโปร์ (สำหรับสินเชื่อ)
เจาะลึกที่มา และ กลยุทธ์การเชื่อมโครงสร้างหนี้เข้ากับความยั่งยืน

นายยงยุทธ เสฏวิวรรธน์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการบริหารการเงินกลุ่ม และศูนย์บริการร่วมทางการเงิน บริษัท ไทยยูเนี่ยน (TU) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเปลี่ยนเงินกู้ระยะยาวให้เป็น Sustainable Finance 100% ภายในปี 2573 จากปัจจุบัน ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2568 มีเงินกู้ทั้งหมดรวม 76,152 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 68,512 ล้านบาทจากปี 2567 แยกเป็นเงินกู้ระยะสั้น 26.3% เพื่อใช้ในการไปซื้อวัตถุดิบ และ ให้เครดิตกับลูกค้า และเงินกู้ระยะยาว 73.7% เพื่อใช้ในการซื้อกิจการ โดยหนี้ทั้งหมด 70%% เป็นการกู้ในรูปของเงินบาท และ 66% ของเงินกู้ทั้งหมดเป็นเงินกู้อัตราดอกเบี้ยคงที่ ในขณะที่กู้แบบดอกเบี้ยลอยตัว 34%
ปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับลงมาในระดับที่คิดว่าเหมาะสม ประกอบกับสินเชื่อเพื่อความยั่งยืน ยังได้อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าสินเชื่อทั่วไป 0.10%-0.15% จึงถือโอกาสนี้ในการกู้เงิน และ ออกหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืนทางทะเล รวม 19,000 ล้านบาท นำไปรีไฟแนนซ์เงินกู้ก้อนเก่าที่จะครบกำหนดในปี 2568 จะช่วยให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลง โดยสิ้นปีนี้คาดว่าต้นทุนอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ประมาณ 3% จาก 6 เดือนแรกของปีอยู่ที่ 3.4% จากเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมามีภาระดอกเบี้ยจ่ายสูงสุด 2,500 ล้านบาทต่อปี สิ้นปีนี้จะเหลือประมาณ 2,000 ล้านบาท

“เราสามารถระดมทุนด้วยต้นทุนการกู้ยืมที่ต่ำที่สุดในประวัติการณ์ของบริษัท ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่เกินความคาดหมายสำหรับเรา ความสำเร็จนี้สะท้อนความเชื่อมั่นของตลาดต่อความแข็งแกร่งด้านการเงินและทิศทางกลยุทธ์ของบริษัท การออกหุ้นกู้ที่มีโครงสร้างแบบผสมผสาน ซึ่งเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และยอดจองหุ้นกู้ที่สูงกว่ายอดเสนอขายนั้น สะท้อนชัดเจนถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องสำหรับผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อความยั่งยืนที่มีความซับซ้อน เราขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านสำหรับการสนับสนุนเป็นอย่างดีตลอดมา”นายยงยุทธ กล่าว
นายยงยุทธ กล่าวว่า ในการกู้เงิน 10,000 ล้านบาทจากสถาบันการเงินครั้งนี้เลือกกู้แบบคลับโลน คือ กู้จากพันธมิตร 8 ธนาคาร เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันไว้ บางธนาคารต้องการทั้งหมด เพราะสามารถนำไปขายต่อได้ และเป็นที่ต้องการของตลาด เพราะทุกบริษัทและธนาคารรวมถึงนักลงทุน ได้หันมาใส่ใจการลงทุนด้านความยั่งยืนมากขึ้น หุ้นกู้อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.46% มียอดจองจากบริษัทประกันชีวิตเข้ามาจำนวนมาก และหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืนยังเป็นที่ต้องการของนักลงทุนระยะยาว ซึ่งปัจจุบันถือว่าน้อยมากมีเพียง 3% ของหุ้นกู้ทั้งหมด สามารถที่จะเติบโตได้อีก
ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้กู้เงินเพื่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนทางทะเล (Blue Loan) มูลค่า 5,000 ล้านบาทจากธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) และกลุ่มธนาคารพันธมิตร ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของอุตสาหกรรมอาหารทะเลในประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการเพาะเลี้ยงกุ้งอย่างยั่งยืนและการรับรองมาตรฐานสำหรับเกษตรกรกุ้ง
“จากการปิดดีลเงินกู้ยั่งยืนรวม 2.4 หมื่นล้านบาท ภายในสิ้นปีนี้เงินกู้ระยะยาวเพื่อความยั่งยืนจะเพิ่มเป็น 80% ทะเลุเป้าที่วางไว้เดิมที่ 75% ซึ่งถือว่าคำมั่นสัญญาเฟสแรกบรรลุเป้าหมายแล้ว ต่อไปคือมุ่งเป้าที่ 100% ในปี 2573 โดยศักยภาพของบริษัทและทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาลง สามารถที่จะเปลี่ยนเงินกู้ระยะยาวให้เป็นเงินกู้เพื่อความยั่งยืนได้ 100% ก่อนปี 2573 แต่ด้วยเงื่อนไขระยะเวลาของการกู้เงินทำให้ต้องรอไปถึงปี 2573″นายยงยุทธ กล่าว
เปิดกลยุทธ์สู่สินเชื่อยั่งยืน 100% ปี’73

นายยงยุทธ กล่าวว่า บริษัทฯเริ่มดำเนินการเรื่องความยั่งยืนอย่างจริงจังมาตั้งแต่ประมาณปี 2558-2559 มากจากการเจอประเด็นสำคัญ IUU Fishing หรือการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม รวมถึงยุโรปให้ใบเหลือภาคการประมงไทย เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ TU หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืน ที่จะได้ประโยชน์จาก 2 ส่วน คือ สามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นที่สามารถต่อรองได้จากความต้องการของนักลงทุน ซึ่งต่ำกว่าสินเชื่อทั่วไป 0.10-0.15% และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมเมื่อองค์กรสามารถบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน (KPI) ที่ได้ตกลงไว้กับธนาคารหรือผู้ลงทุน โดย KPI เหล่านี้จะถูกวัดผลเป็นรายปี และมีผลต่ออัตราดอกเบี้ยตามที่ระบุในสัญญาที่ 0.05% ฉะนั้น จะเห็นว่ายอดเงินกู้เพิ่มขึ้น แต่ภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลง
สำหรับ ความยั่งยืนเฟสแรก เน้นเรื่องปลาทูน่า ที่ให้ความสำคัญกับแรงงาน บริษัทฯได้ผูกพัน KPI ไว้ 3 ด้าน ได้แก่ การติดอันดับ Top 10 ของดัชนี DJSI ในอุตสาหกรรมอาหาร การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 1 และ 2 และการจัดซื้อปลาทูน่าที่มีระบบมอนิเตอร์บนเรือครบ 100% เพื่อความโปร่งใส ซึ่งบรรลุเป้าหมายที่วางไว้แล้ว
เฟส 2 มุ่งเรื่องกุ้ง จะเพิ่มสัดส่วนการซื้อกุ้งที่ได้รับการรับรอง หรือใบเซอร์ด้านความยั่งยืน ให้ครบ 100% ภายในปี 2573 จากปัจจุบัน ทำเป้าหมายที่จะติดอันดับท็อป 5% ของดัชนี DJSI ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 1, 2 และ 3 โดยเฉพาะ Scope 3 ที่ตั้งเป้าลดลง 42% ภายในปี 2573 เทียบกับปี 2564
ในด้านการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มีนโยบายที่ชัดเจนคือไม่เก็งกำไร และมุ่งปิดความเสี่ยงให้มากที่สุดเพื่อรักษาอัตรากำไร ปัจจุบันมีสัดส่วนการส่งออกประมาณ 90% และนำเข้าประมาณ 50% ซึ่งสามารถชดเชยกันได้ในระดับที่เหมาะสม ทำให้ความผันผวนของค่าเงินมีผลกระทบจำกัด มีส่วนต่างส่งออกประมาณ 40% จะปิดความเสี่ยงทันทีที่ได้รับคำสั่งซื้อสินค้า โดยภาพรวมสามารถปิดความเสี่ยงของสัญญาได้ 70–80% ซึ่งช่วยให้รายได้และกำไรมีเสถียรภาพ
สำหรับการบริหารความเสี่ยงจากการจัดหาเงินทุน มีนโยบาย Zero Risk โดยไม่รับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเลย หากมีการกู้เงินหรือปล่อยกู้ในสกุลเงินที่แตกต่างกัน จะดำเนินการทำ Forward Contract คู่กันทันทีตั้งแต่วันแรก เพื่อให้สามารถทราบต้นทุนที่แท้จริงตลอดอายุของเงินกู้นั้น และปิดความเสี่ยงได้ 100% ในส่วนของการจัดหาเงินทุน
เดินหน้าความร่วมมือกับ มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น
นายยงยุทธ กล่าวว่า กรณี มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น มีความประสงค์ที่จะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทของเราจากเดิมประมาณ 5–6% เป็น 20% โดยให้เหตุผลว่า หากจะมีการร่วมมือทางธุรกิจในอนาคต ต้องการให้มีผลกระทบต่องบการเงินด้วย ผ่านการถือหุ้นในระดับที่สามารถรับรู้กำไรตามสัดส่วน (profit sharing) แทนการรับเงินปันผลเพียงอย่างเดียว
ซึ่งได้แสดงความตั้งใจที่จะทำการซื้อหุ้นผ่านกระบวนการ General Tender Offer โดยมีเงื่อนไขชัดเจนตั้งแต่วันแรกที่เริ่มเสนอซื้อว่า หากไม่สามารถรวบรวมหุ้นได้ครบถึง 20%จะไม่ดำเนินการซื้อหุ้นทั้งหมด ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่เปิดเผยตั้งแต่ต้น
“แม้จะซื้อหุ้นไม่ได้ตามสัดส่วนที่วางไว้ ความร่วมมือระหว่างเรากับมิตซูบิชิฯ ยังคงดำเนินต่อไป เพราะเขาเป็นผู้ถือหุ้นเชิงกลยุทธ์ (Strategic Shareholder) ของเรามาตั้งแต่ปี 2534 หรือกว่า 30 ปีแล้ว โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นขึ้นลงระหว่าง 5–8% และมีตัวแทนอยู่ในคณะกรรมการบริษัทของเราตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา”นายยงยุทธ กล่าว
นายยงยุทธ กล่าวว่า บริษัทฯมีความร่วมมือกับมิตซูบิชิ ฯ ทางธุรกิจในหลายด้าน เช่น มิตซูบิชิฯ เป็นเจ้าของฟาร์มแซลมอนในชิลี นอร์เวย์ และแคนาดา ซึ่งถือเป็นผู้ผลิตแซลมอนรายใหญ่อันดับสองของโลก ปัจจุบัน TU เป็นผู้ผลิตแซลมอนให้ มิตซูบิชิฯ โดยนำแซลมอนจากชิลีเข้ามาแปรรูปในโรงงาน TU เพื่อส่งไปจำหน่ายในญี่ปุ่น ซึ่ง มิตซูบิชิฯ เป็นผู้จัดจำหน่ายหลัก และยังเป็นเจ้าของร้าน Lawson อีกด้วย
นอกจากนี้ ยังผลิตสินค้าหลายประเภทให้ มิตซูบิชิฯ เช่น กุ้งเทมปุระ และสินค้าอื่น ๆ อีกมากมาย ความร่วมมือเหล่านี้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง และในอนาคตก็เชื่อมั่นว่า หากทั้งสองฝ่ายเห็นประโยชน์ร่วมกัน ก็จะสามารถขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้าได้อย่างแข็งแกร่ง
